น้ำท่วมในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะในเดือน ตค. 54
เนื่องจากคันกั้นน้ำพัง ส่งผลให้ รถยนต์จำนวนมากที่ผลิตเสร็จแล้ว
ในโรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าจมน้ำ หลังน้ำลด
โรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้า
ต้องทำลายรถยนต์ที่ผลิตเสร็จแล้วแต่ถูกน้ำท่วมกว่าพันคัน
สูญเงินไปหลายร้อยล้านบาท
สค.64 ไฮโซลูกน้ท
ทายาทเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ลงถนนก่อม็อบ
แล้วถูกยิงด้วยวัตถุบางอย่างจนตาบอด
บทที่ 3.
ทำถูกวิธี
หลวงพ่อปาน
"เก่งคนเดียวเก่งไม่จริง
เพราะเรายังดีไม่พอ เราจึงควรหามืออาชีพมาช่วย"
ความสำเร็จเกิดจาก 2 สิ่ง
- มีความพยายาม ถ้ารู้วิธีแต่ไม่ลงมือทำ ก็จะไม่ได้ผล ถ้าลงมือทำ
แต่พยายามไม่พอ ก็ไม่ได้ผลเช่นกัน
- ทำถูกวิธี ขยันอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำถูกวิธีด้วย
ถ้าทำผิดวิธีเสียอย่างเดียว ถึงจะพยายามมากแค่ไหน
สุดท้ายก็สูญเปล่า สิ่งที่ทำมาเป็นสิบๆเป็นร้อยๆปีก็สูญเปล่า
แต่ถ้าทำถูกวิธี จะเห็นผลเร็วมาก ดังคำกล่าวที่ว่า คนขยันผิดที่
10 ปีก็ไม่รวย ขยันถูกที่ ปีเดียวก็รวยได้
อย่าหวังน้ำบ่อหน้า
ถ้าอนาคตข้างหน้ายังไม่แน่นอน
แล้วหนทางที่มีอยู่ในปัจจุบันแน่นอนกว่า และตรงกับเป้าหมายในชีวิต
เราควรเลือกหนทางที่แน่นอนกว่า
ไม่ว่าจะทำอะไร เรามักจะต้องเจออุปสรรคเสมอ คนที่ขาดประสบการณ์
จะใช้วิธีเปลี่ยนไปทำเรื่องใหม่ที่ตัวเองไม่รู้ พอเปลี่ยนแล้ว
มักจะต้องเจอปัญหาใหม่ บางทีเจอปัญหาหนักกว่าเก่า
ส่วนคนที่มีประสบการณ์ จะอดทนรอ หรือ
พยายามหาทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน
จะไม่พยายามเปลี่ยนไปหาสิ่งใหม่ ยกตัวอย่างเช่น ขณะกำลังขับรถอยู่
เกิดปวดท้องต้องการเข้าห้องน้ำ จึงแวะปั๊ม แต่มีคนรอคิวมาก
คนอ่อนประสบการณ์จะเปลี่ยนไปหาปั๊มหน้า ซึ่งไม่แน่ว่าจะเจอ
หรืออาจจะมีแต่มีคนรอคิวมากกว่าเก่า
แต่คนมีประสบการณ์จะพยายามหาห้องน้ำอื่นๆในละแวกใกล้เคียง
ถ้าต้องการเปลี่ยนจริงๆก็สามารถทำได้ โดยมีหลักว่า
ต้องรู้แน่ชัดว่าเปลี่ยนแล้วจะต้องเจออะไร
เวลา
เจออุปสรรค อย่าเปลี่ยนไปทำอะไรที่ตัวเองไม่รู้ อย่างเช่น
ถ้าเจอรถติด แล้วจะเปลี่ยนเส้นทาง ควรจะรู้แน่ชัดว่าเส้นทางใหม่
รถไม่ติด ถ้าไม่แน่ใจ อย่าทดลองไป ถ้าจะทดลอง ควรหาเวลาว่างทดลอง
หากมีสิ่งใดที่ต้องทำต้องใช้กะทันหัน แล้วไม่ได้เตรียมไว้
ไม่ได้วางแผนไว้ อย่าออกไปแสวงหา ให้หาจากใกล้ๆตัว
ถึงแม้จะราคาแพงแต่ก็ต้องยอม การออกไปแสวงหาอาจหาไม่พบ
หรือหาพบแต่ต้องเสียเวลามาก เพราะเราไม่ชำนาญในเรื่องนั้น
ไม่รู้จักพื้นที่นั้น
เวลาที่นัดกับคนอื่น การเปลี่ยนแปลงจะลำบากมาก อย่างเช่น
ถ้านัดใครไปกินอาหารที่ร้านหรือไปพักโรงแรม
ผู้มีประสบการณ์จะรู้ดีว่า ไปแล้วอาจจะเจอปัญหาเช่น ร้านปิด
หรือคนเต็ม ทำให้ต้องเปลี่ยนสถานที่
เปลี่ยนแต่ละครั้งต้องขนคนจำนวนมากไป หรือไม่ก็ต้องให้คนจำนวนมากรอ
ซึ่งเราก็ไม่รู้จะหาที่ใหม่ได้หรือไม่ ผู้มีประสบการณ์จึงต้องโทรจอง
หรือเดินทางไปตรวจสอบสถานที่จริงก่อน
เริ่มทำแบบเล่นๆ เริ่มทดลองแบบเสียหายน้อยที่สุด
การทดลองช่วยให้เรารู้มากกว่าการปฎิบัติ
เพราะการทดลองช่วยให้เราได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ
ที่จะช่วยให้ชีวิตเราสะดวกสบายขึ้น
ไม่ว่าเราจะเริ่มลงมือทำอะไรก็ตาม ควรเริ่มทำแบบเล่นๆเสมอ
จะทำจริงๆจังๆ เฉพาะเวลาที่จำเป็นจริงๆ
แอ๊ปเปิ้ลผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยเริ่มจาก Woz ทำมันแบบเล่นๆ
ทำเป็นงานอดิเรก แต่เขาคิดว่าไม่มีใครซื้อ จนกระทั่งสตีฟจ็อบไปพบเข้า
จึงชวนกันมาทำขายจนร่ำรวย
เวลาคิดไม่ออก ถ้าทดลองทำไปเรื่อยๆ จะเริ่มเห็นภาพ เพราะ
ความคิดไม่ได้เกิดจากการมองไปข้างหน้า
แต่เกิดจากการนำความรู้ที่สั่งสมมาในอดีตมาประมวลผล
และที่ต้องทดลองทำเล่นๆ เพราะไม่ต้องแคร์ใคร และ ไม่ต้องกลัวอะไรพัง
ถ้าทดลองทำกับของจริงก็จะกลัวนั่นกลัวนี่ จนไม่กล้าทำอะไร
บางทีทำแล้วไปกระทบกับของที่มีอยู่เดิมจนพัง หรือมีปัญหาวุ่นวายตามมา
พอทำเล่นๆแล้ว จะพบว่าอันไหนใช้ดี เสถียรแล้ว จึงค่อยเก็บมาทำจริง
หลายเรื่องสามารถทำแจกให้ผู้อื่นใช้ฟรีได้ด้วย เช่น เขียนหนังสือ
หรือเขียนโปรแกรมแจกฟรี คนใช้ฟรี แล้วใช้ไม่ดี ก็มาต่อว่าเราไม่ได้
ผู้ใหญ่เวลาจะทำอะไรทีหนึ่งก็กังวลเรื่องหน้าตา
และความรับผิดชอบที่จะตามมา พอคิดไปคิดมา เริ่มเห็นความยุ่งยาก
ทำให้ตัวเองต้องเหนื่อย จึงไม่อยากทำ ส่วนเด็กชอบเล่น
การทำเล่นๆไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้
เด็กจึงเริ่มต้นอะไรใหม่ๆได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น
ถ้าผู้ใหญ่อยากเริ่มต้นอะไรง่ายๆ ก็ต้องเริ่มทำเล่นๆ
ผู้ใหญ่ที่อ่อนประสบการณ์ มักจะคิดไปเองว่า การทำอะไรเล่นๆ
การทำงานอดิเรก หรืองานการกุศล เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ควรทำ
เรื่องที่มีสาระคือการเรียนหนังสือให้ดี
และการทำงานที่ได้เงินเท่านั้น คนที่คิดเช่นนี้
มักจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะไม่รู้ว่า
คนที่สร้างอะไรที่ยิ่งใหญ่ให้แก่โลก มักจะเริ่มต้นมาจากงานอดิเรก
เพราะ งานอดิเรก ไม่มีแรงกดดัน งานการกุศลก็เหมือนกัน
ถ้าทำผิดพลาดก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะแจกฟรี พอเราอุทิศแรงกาย
ทำเรื่องเล่นๆ จนเป็นชิ้นเป็นอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา
เราก็จะได้บทเรียนหลายอย่างกลับมาด้วย โดยที่เราไม่รู้ตัว
และบทเรียนเหล่านี้เอง ที่มักจะแข็งแกร่งกว่า
บทเรียนที่ได้จากการทำงาน เนื่องจาก การทำงานมักจะลุยได้ไม่เต็มที่
เพราะกลัวทำผิดแล้วจะโดนด่า
อย่างเช่น ถ้าเราเขียนหนังสือเล่นๆไปเรื่อยๆ
เราก็จะเริ่มคิดถึงคนอ่านมากขึ้น ว่าเวลาอ่านแล้วจะสัยอะไร
เมื่อมีคำถามก็ต้องมีคำตอบ เมื่อฝึกไปนานๆ
จะทำให้เราเขียนหนังสือให้คนอื่นเข้าใจได้ง่าย
เริ่มงานใหญ่จากแบบจำลอง
การทำงานอะไรสักชิ้นให้สำเร็จ ต้องมีเครื่องมือหลายชิ้น
การซื้อเครื่องมือแต่ละชิ้น มีค่าใช้จ่าย
ถ้าซื้อเครื่องมือผิดไปสักตัว ก็จะเสียเงินไปฟรีๆ
โดยเฉพาะเครื่องมือที่ราคาแพง ถ้าซื้อผิดทีเดียวก็หมดตัว
วิธีที่เราจะทำไม่ให้พลาดคือ เริ่มจากแบบจำลอง
ทำแบบเล็กๆให้รู้หมดก่อนว่าได้ผลอย่างไร ถ้าแบบจำลองทำสำเร็จแล้ว
ไม่ว่างานใหญ่สักแค่ไหนก็เป็นไปได้
เพียงแค่ลอกจากแบบจำลอง โดยเฉพาะงานประเภท mass
ที่ต้องทำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ซ้ำๆกันจำนวนมาก
จะได้ประโยชน์จากแบบจำลองอย่างแท้จริง
การสร้างอะไรขึ้นมาสักชิ้น ต้องมีชิ้นส่วนย่อยๆมาประกอบกัน
พอประกอบกันจนเริ่มเป็นจะรูปเป็นร่างเริ่มใช้งานได้
ก็จะเริ่มสลับซับซ้อน แต่การดัดแปลงส่วนย่อยแต่ละส่วน
ย่อมมีโอกาสที่จะทำผิดหรือถูก ถ้าทำผิด จะไปกระทบกับส่วนประกอบอื่นๆ
จนทำให้ภาพรวมที่เคยใช้งานได้ กลับใช้งานไม่ได้
พอถึงตอนนั้นก็จะย้อนกลับไม่ได้ ผู้สร้างจึงรู้ดีว่า
ต้องแยกส่วนประกอบย่อยๆแต่ละส่วน ออกไปทำต่างหาก ทำแน่ใจแล้วว่า
ทำถูกวิธี จึงค่อยนำส่วนประกอบย่อยๆนั้น มาเพิ่มเข้าไป
แตกงานใหญ่ออกมาเป็นงานย่อยๆ
งานใหญ่มีความสลับซับซ้อนมาก การแก้ไขสิ่งที่สลับซับซ้อน
จะยากและไม่คล่องตัว แต่ถ้าแตกออกมาเป็นงานย่อยๆแยกอิสระจากงานใหญ่
จะสร้างหรือแก้ไขดัดแปลงได้ง่าย เมื่อทำงานย่อยเสร็จแล้ว
จึงค่อยนำมาเชื่อมต่อกับงานใหญ่
เหมือนนำเครื่องใช้ไฟฟ้าแยกอิสระจากสายไฟในบ้าน
แค่มาเสียบปลั๊กแล้วใช้ได้เลย
ของดี พิสูจน์ด้วยกาลเวลา สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่มักจะยังไม่ดี
เวลาเป็นตัวพิสูจน์ทุกสิ่งทุกอย่าง
สิ่งที่ยังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ด้วยการเวลา มักจะมีปัญหาซ่อนอยู่
ถ้าเราเผลอใช้ไป ก็จะต้องเจอปัญหา เช่น ยาที่ออกใหม่
พอใช้ไปสักพักก็จะเริ่มมีคนพบผลข้างเคียง, อย่างก๊าซ NGV ในเมืองไทย
มีโฆษณาให้คนหันมาใช้ แถมรัฐบาลช่วยอุดหนุนราคาก๊าซไว้จนถูกมาก
แค่ผ่านไปไม่กี่ปีก็พบว่า ปั๊มไม่พอ ต้องเข้าคิวนาน 4-12 ชั่วโมง
บางจังหวัดไม่มีปั๊มเลย พอผ่านมาอีกไม่กี่ปี รัฐบาลก็เลิกอุดหนุน
ทำให้ราคาแก๊ส NGV เพิ่มขึ้น
สิ่งที่ผ่านการพิสูจน์ด้วยการเวลามาแล้วยาวนาน
จึงจะเชื่อได้ว่าไม่มีปัญหา หรือถ้ามีปัญหา ก็แก้ไขได้ง่าย
เพราะเคยมีคนเคยลองผิดลองถูกมาก่อน มีคนหาทางแก้ไว้ให้แล้ว
อย่างแนวคิดเรื่องสังคมนิยมของ Karl Marx ทำให้หลายประเทศ
นำไปใช้เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองไปเป็นแบบคอมมิวนิสต์
ล้มระบบกษัตริย์ ห้ามมีศาสนา ยึดทรัพย์คนรวย กำจัดชนชั้นกลาง
เพื่อทำให้ประเทศเหลือแต่ชนชั้นแรงงาน ในกัมพูชาในยุคเขมรแดง
ก็เกิดการเข่นฆ่าปัญญาชน เป็นจำนวนมหาศาล
จนกระทั่งเวลาผ่านมาเกือบร้อยปี กาลเวลาก็ได้พิสูจน์ว่า
แนวคิดสังคมนิยม ใช้ไม่ได้ผลจริง
เกิดการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในโซเวียต และในประเทศต่างๆ
แม้แต่ในกัมพูชา แต่ก็สายไปเสียแล้ว
เพราะประเทศเหล่านั้นเหลือแต่ความยากจน
ประเทศอื่นที่ใช้ระบบประชาธิปไตย อย่างอเมริกาหรือไทย
ก็เจริญก้าวหน้าไปไกล ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่ามาก
แม้แต่พระมหากษัตร์รัชกาลที่ 9 และศาสนาพุทธ
ก็ได้แสดงให้ทั่วโลกประจักษ์ถึงคุณค่าของการมีอยู่
ถึงแม้ว่าในประเทศจีน จะยังคงลัทธิคอมมิวนิสต์อยู่ได้
แต่นั่นเป็นเพราะ มีการปรับตัว
ด้วยการเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจไปเป็นระบบทุนนิยม
ประชาชนแต่ละคนร่ำรวยไม่เท่ากัน เพราะ เปิดให้เอกชนค้าขายได้เสรี และ
เปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้อย่างเต็มที่
ซึ่งตรงข้ามกับแนวคิดแบบสังคมนิยมดั้งเดิม จนแทบเรียกได้ว่า
จีนเหลือเพียงคำว่าคอมมิวนิสต์ อยู่แต่เพียงในนามเท่านั้น
สาเหตุที่ กาลเวลาสามารถพิสูจน์สิ่งต่างๆได้ ก็เพราะเมื่อเวลาผ่านไป
ย่อมมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น ถ้าสิ่งใหม่ ดีกว่าของเก่า
ก็แสดงว่าของเก่าไม่ดีจริง แต่ถ้าของใหม่ ยังสู้ของเก่าไม่ได้ หรือ
ดีพอๆกัน แสดงว่าสิ่งนั้นดีจริง
สิ่งดีๆ เกิดขึ้นได้ จากการลงมือทำเท่านั้น
ทุกอย่างยากตอนเริ่มต้น พอเริ่มทำไปแล้วก็จะไม่ยากแล้ว
เพราะจะเริ่มเห็นแนวทาง
ถ้าทำแล้วเกิดปัญหา เรายังสามารถแก้ไขให้ดีได้ แต่ถ้าไม่ลงมือทำ
ไม่มีทางที่สิ่งดีๆจะเกิดขึ้นได้เลย
จะไปถึงจุดหมายได้ก็ต้องเริ่มออกเดิน
ถ้าไม่เริ่มออกเดินก็ไม่มีวันไปถึงแน่นอน วันที่เราทำ
เราอาจจะเหนื่อย อาจจะท้อ เพราะยังไม่เห็นผล แต่พอผลออกมาแล้ว
เราจะรู้สึกปลาบปลื้ม
เราจะรู้สึกได้ว่าสิ่งที่ได้ลงมือทำไปนั้นคุ้มค่า ไม่เสียแรงเปล่า
เราจะไม่มีทางรู้ว่าอะไรดีกว่า จนกว่าเราจะเคยทำสิ่งนั้น
หรือเห็นคนอื่นทำสิ่งนั้นอยู่ คนส่วนใหญ่จึงมักจะจมปลักอยู่กับที่
จนกว่าจะเห็นคนอื่นทำแล้วได้ผลดีกว่า จึงทำตาม
เมื่อมีผู้นำ ก็จะมีผู้ตาม
คนทั่วไปพอรู้ว่าเป็นงานใหญ่ ที่ทำคนเดียวไม่ไหว ก็จะไม่คิดทำ เพราะ
คิดว่าเกินความสามารถของตน แต่เมื่อมีผู้นำ ที่รวบรวมคนมาได้
เขาก็จะเข้าร่วม แล้วกลายเป็นผู้ตาม แต่ยังมีบางคน
ที่เชื่อว่าตัวเองจะทำงานใหญ่ได้ คนเหล่านี้จึงกลายมาเป็นผู้นำ
ปัญหาของคนทั่วไปคือ ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง เพราะไม่รู้ว่าเปลี่ยนแล้ว
ผลจะออกมาเป็นอย่างไร โดยเฉพาะคนที่เรียนน้อย
มักจะมีนิสัยเหมือนกันคือ คิดเองไม่เป็น ต้องรอรับคำสั่ง
แต่เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว พวกเขาก็จะทำอย่างเต็มที่
สิ่งดีๆหลายอย่าง ยังไม่เกิดขึ้น เพราะขาดผู้นำ
หลายสิ่งยังไม่เกิดขึ้นไม่ใช่เพรายังไม่ดี แต่เป็นเพราะขาดผู้นำ
เนื่องจาก คนส่วนใหญ่เคยชินกับการทำงานเล็กๆ
ตามความถนัดที่ตนเองเคยฝึกฝนมา ยกตัวอย่างเช่น สตีฟ จ็อบส์ พอทำ
smartphone ยี่ห้อไอโฟนออกมาขาย ในขณะที่ smartphone
ยี่ห้ออื่นยังคงใช้ปากกา stylus จิ้ม
แต่โทรศัพท์ของเขาโฆษณาว่าไม่ใช้ stylus
เปลี่ยนมาใช้นิ้วเลื่อนหน้าจอ หลังจากที่ smartphone ของเขาขายดี
ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือยี่ห้ออื่น ก็เลียนแบบกันเป็นแถว ต่อมาเขาผลิต
Ipad ออกมา ก็ขายดี
ทำให้มีผู้ผลิตยี่ห้ออื่นเลียนแบบกันเป็นแถวอีกเช่นเคย
หาวิธีวัด ทำอะไร ต้องมีตัววัด อย่าใช้ความรู้สึก
หรือรอคอยให้ผลออกมาเอง
ผมมีเพื่อนบ้านคนหนึ่ง
มาขอดูขนาดท่อน้ำเข้าบ้านเพื่อเขาจะนำไปทำที่บ้านบ้าง
เขามายืนดูด้วยตาแล้วบอกว่า "6 หุน" (ซึ่งเท่ากับ 6/8 นิ้ว)
แต่ผมเอาเวอร์เนียมาวัด ได้ 1 นิ้ว จะเห็นได้ว่า
สิ่งใดก็ไม่สามารถตรวจวัดได้ ก็จะไม่สามารถทำให้ถูกต้องได้
คนสมัยนี้ นึกจะพูดอะไรก็พูด คนส่วนใหญ่พูดจากความรู้ไม่จริง
ถ้าเราไม่มีตัววัด จะไม่มีทางรู้เลยว่า อะไรถูก อะไรผิด
งานบางอย่างใช้เวลาทำสั้นๆแค่ไม่กี่นาทีก็เห็นผล แต่งานบางอย่าง
ต้องทำซ้ำๆติดต่อกันเป็นเวลานานนับปี จึงจะได้ผล ซึ่งหมายถึง
ต้องทำถูกวิธีมาโดยตลอด ถ้าทำผิดวิธีมาตลอด แต่คิดไปเองว่าน่าจะได้ผล
สุดท้ายก็ไม่ได้ผล ต้องเสียทรัพยากรไปฟรีๆ
งานที่ทำเสร็จแล้ว ไม่มีตัววัด จะไม่รู้ว่าได้ผลจริงหรือไม่
ถ้ารอคอยให้ผลเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ กว่าจะรู้ว่าไม่ได้ผล
ก็ต้องรอนานมาก
ถ้าเราพยายามหาตัววัด ก็จะรู้ได้ทันที ว่าทำถูกหรือผิด แต่ปัญหาคือ
คนส่วนใหญ่ไม่พยายามหาตัววัด
ทั้งๆที่พยายามคิดอีกเล็กน้อยก็จะได้ตัววัด
แต่กลับใช้การรอคอยให้ผลออกมาเอง บางเรื่องใช้ความรู้สึกเป็นตัววัด
แต่การใช้ความรู้สึกวัดนั้น หยาบเกินไป อาจมีความรู้ไม่จริง
หรือกิเลสเข้ามาครอบงำ ทำให้ความรู้สึกไม่ตรงกับความจริง
ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ โดยไม่มีตัววัด จะไม่รู้ว่ามาถูกทางหรือไม่
แต่ถ้ามีตัววัด เราก็ไม่ต้องรอทำจนเสร็จ ทำไปเพียงเล็กน้อย
แล้ววัดดูผลการเปลี่ยนแปลง ถ้าผลดีขึ้น ก็จะมั่นใจได้ ว่ามาถูกทาง
แล้วทำวิธีนั้นซ้ำๆต่อไปได้ โดยไม่ต้องกังวลอีก อย่างเช่น
ถ้าเป็นการเรียน ตัววัดคือการทดลองทำข้อสอบเก่าที่มีเฉลย
แล้วจับเวลาให้เท่ากับเวลาที่ทำข้อสอบจริง
แล้วมาดูเฉลยก็จะรู้ได้ทันทีว่า เวลาสอบจริง
เราควรจะได้คะแนนเท่าไหร่ หรือ ถ้าจะสร้างอะไรสักอย่าง ตัววัดคือ
คนอื่นที่สร้างสิ่งที่คล้ายๆกันใช้เวลานานเท่าไหร่
อย่างถ้าจะสร้างรถยนต์ บริษัทคู่แข่งใช้เวลาสร้างแค่คันละ 10 นาที
แต่เราใช้เวลาสร้างคันละเป็นปี เราก็ไม่มีวันที่จะขายได้ทันเขา,
หรือถ้าเราสร้างอะไรสักอยาก แล้วอยากรู้ว่าใช้ได้หรือไม่
ต้องหาเครื่องมือมาทดสอบ ไม่ใช่ทดลองใช้ในสภาพแวดล้อมจริงไปเรื่อยๆ
เพราะถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นมาในสภาพแวดล้อมจริง
จะแก้ไขลำบากกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องทดลอง ซึ่งมีเครื่องมือพร้อม
การวัดบางอย่าง ต้องวัดความเปลี่ยนแปลง คือ ไม่ใช่วัดแค่ครั้งเดียว
แต่ต้องวัด 2 ครั้ง คือ วัดครั้งแรก แล้วรอผ่านไปช่วงเวลาสั้นๆ
จึงวัดอีกรอบ ดูว่าการเปลี่ยนแปลงดีขึ้น หรือแย่ลง
เช่นถ้าเป็นการรักษาโรค ตัววัดอาจเป็นการตรวจเลือด
แต่การวัดว่ารักษาได้ผลหรือไม่ ต้องตรวจเลือด 2 ครั้ง
ครั้งแรกก่อนรักษา และอีกครั้งหลังจากรักษาไปได้ไม่นาน
ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ได้เกิดจากการมองไปข้างหน้า
แต่เกิดจากความรู้ที่สั่งสมมา
เวลาที่เราสงสัยว่า คนๆนี้เขาคิดแบบนี้ได้อย่างไร คำตอบคือ
เขาคิดจากความรู้เก่าที่มีอยู่ในหัว มาประกอบกัน เหมือนเด็กอนุบาล
จะเริ่มเขียน ก.ไก่ได้ ต้องมีจุด มาให้ลากเส้น
จุดเหล่านั้นคือความรู้เก่าที่ผู้ใหญ่สั่งสมมา
ไม่มีใครที่จะเริ่มคิดจากศูนย์แล้วได้วิธีใหม่ คนที่จะคิดวิธีใหม่ได้
ต้องนำข้อดีของวิธีเก่าๆ หลายๆข้อมารวมกัน ถ้าไม่มีข้อดี
ก็นำข้อเสียมาปรับปรุงให้ดี สุดท้ายก็จะได้วิธีใหม่ เช่น
ถ้าต้องการออกแบบไฟฉาย เราต้องลองใช้ไฟฉายหลายๆยี่ห้อ
บางยี่ห้อไฟกว้าง บางยี่ห้อไฟแคบ พอลองใช้แล้วก็จะรู้ว่า ไฟแต่ละแบบ
มีข้อดีข้อเสียอย่างไร และหากลองใช้ในสภาพแวดล้อมหลากหลาย
ก็จะได้รู้ข้อดีข้อเสียมากขึ้น
งานใหญ่ทุกชิ้นสำเร็จได้ ด้วยการใส่ความพยายามเข้าไป

ชาวจีนคนหนึ่งชื่อ Dafa ใช้เวลา 36ปี ขุดคลองยาว 7.2 กิโลเมตร
เพื่อส่งน้ำไปยังหมู่บ้าน เพียงเพราะเขาเชื่อว่า
ภูเขาจะไม่ใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว แล้วในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ
อุปสรรคต่างๆมีอยู่ตามธรรมชาติ
แต่ก็มีทางแก้ปะปนอยู่กับอุปสรรคนั้นด้วยเช่นกัน
ถ้าเรายังไม่พยายามที่จะเดินเข้าไปหาปัญหา เราก็ไม่มีวันจะพบวิธีแก้
ทำให้ปัญหาคงอยู่อย่างนั้น คนที่ล้มเหลว คือคนที่ยังไม่ได้พยายามทำ
เพราะเมื่อพยายามทำแล้ว จะต้องพยายามคิดแก้ปัญหา
จนได้พบทางออกของปัญหาในที่สุด เมื่อเจอทางออกของปัญหาแล้ว
เขาจะไม่เจออุปสรรคนั้นอีกเลยตลอดชีวิต
ในขณะที่คนที่ไม่ลงมือทำก็จะต้องเจออุปสรรคนั้นไปตลอดชีวิต แน่นอนว่า
คนที่พยายามทำ โดยไม่พยายามคิดแก้ปัญหา
ก็จะต้องเอจอุปสรรคนั้นไปตลอดชีวิตเช่นกัน
ความพยายามหมายถึง การเดินออกจากความสะดวกสบายที่เคยมี
เพื่อทดลองทำสิ่งที่ต้องการ จนล้มเหลว
แล้วทดลองใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกว่าจะสำเร็จ
ผู้ที่เคยทำงานใหญ่สำเร็จ รู้ดีว่า ทำอะไรก็ตาม
ต้องใส่ความพยายามเข้าไปเรื่อยๆ สุดท้าย ย่อมจะได้ผลสักวัน
เหมือนการไปยังจุดหมายปลายทาง อาจจะหลงบ้าง แต่ถ้าหาทางไปเรื่อยๆ
สุดท้ายก็จะต้องถึงแน่นอน ไม่มีผลอย่างอื่น แต่ถ้าท้อแท้
ถอยหลังกลับเสียก่อน นอกจากจะไปไม่ถึงปลายทางแล้ว
ยังเสียเวลาช่วงขาขึ้นไปฟรีๆด้วย แต่คนส่วนใหญ่ ที่ล้มเลิกกลางคัน
มักไม่ค่อยคิดถึงเรื่องเวลาที่เสียไป
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวในขณะที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีว่า
"ถ้าเรามีต้นทุนน้อยกว่าคนอื่น เราต้องมีความพยายามมากกว่าคนอื่น"
โทมัสเอดิสันกล่าวว่า "Genius is one percent inspiration and
ninety-nine percent perspiration."
แปลว่าความสำเร็จได้มาด้วยหยาดเหงื่อ
จะขึ้นที่สูงได้ก็ต้องต้านทานแรงโน้มถ่วงของโลก
เช่นเดียวกับตัวเราต้องเอาชนะแรงต้านทานของตัวเองให้ได้
เวลาที่เราเห็นคนประสบความสำเร็จ เราอยากเป็นเหมือนเขา
แต่เราไม่รู้ว่า กว่าเขาจะได้ความสำเร็จนั้นมา
เขาต้องพยายามทำอย่างลำบากแค่ไหน ยิ่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
ยิ่งต้องเจอกับความลำบาก ที่คนทั่วไปทำไม่ได้
จึงต้องใช้ความอดทนอย่างถึงที่สุด
เวลาที่เราท้อแท้ เพราะถูกคนปฎิเสธ
ควรจะนึกถึงคนที่เขาเจอปัญหาเยอะกว่าเรา
แล้วประสบความสำเร็จมากกว่าเรา เช่น สตีฟจ็อบ
ช่วงที่เขาเริ่มต้นธุรกิจใหม่ๆในโรงรถที่บ้าน
เขาต้องโทรศัพท์ไปหาคนจำนวนมากในบริษัทต่างๆ เพื่อเสนอสินค้าของเขา
แต่กลับถูกปฎิเสธหมด
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็สามารถหาทางดิ้นรนจนขายดีร่ำรวย
มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
ดูตัวอย่างของอเมริกาที่ใช้เวลาถึง 10 ปี เพื่อตามหาคนๆเดียวคือ
บินลาเดน ต้องหมดเงินไปถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์
มีทหารอเมริกันตายไปเกือบห้าพันคน มีผู้คนล้มตายนับล้านคน
อเมริกาเคยคิดล้มเลิกความตั้งใจ แล้วถอนทหารออกมา แต่ในที่สุด
เขาก็สามารถฆ่าบินลาเดนได้สำเร็จ จริงๆแล้วเขารู้ที่อยู่ของบินลาเดน
ล่วงหน้ามาถึง 5 ปี แล้ว แต่เขายังใจเย็น ตรวจสอบให้แน่ใจ
และปิดข่าวนี้ไว้ รู้ในคนของรัฐบาลในวงแคบๆ
แม้แต่ในวันที่ส่งทหารไปฆ่าบินลาเดน ที่ชายแดนอัฟกานิสถาน
เจ้าหน้าที่ของประเทศอัฟกานิสถานก็ยังไม่รู้
สาเหตุที่คนไทยทำอะไรสู้ฝรั่งไม่ได้ เพราะ ฝรั่งทุ่มเททำจริงจัง
มีความอดทนสูง ส่วนคนไทยติดสบาย ผมเคยเห็นฝรั่งสร้างเรือจากเปลือกไม้
birch เขาใช้เวลาทำถึง 10 วัน โดยไม่ทำอย่างอื่นเลย
พอทำใกล้เสร็จแล้ว ฝนก็ตกลงมา ทำให้เปลือกไม้งอหมด
ผมเห็นแล้วก็หมดกำลังใจไม่อยากทำต่อแล้ว
แต่เขากลับเห็นเป็นเรื่องปกติ พยายามซ่อมโดยหาเปลือกไม้มาซ้อนอีกชั้น
จนในที่สุดก็สำเร็จเป็นเรือพาย ลอยน้ำได้
สิ่งใดที่เราสร้างขึ้นมาแล้ว คนอื่นอาจมองว่ายังทำได้ไม่ดี
สู้ของคนอื่นไม่ได้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ต่อเมื่อเราทุ่มเทความพยายามลงไป สิ่งนั้นก็จะมีค่าขึ้นมาเรื่อยๆ
สักวันหนึ่ง สิ่งนั้นก็จะมีค่ามากในสายตาของคนทั่วไป
ความสำเร็จต้องมีความพยายามอยู่ด้วยเสมอ ไม่มีทางลัด
แต่ความพยายามเพียงอย่างเดียว ไม่ได้เป็นตัวบอกความสำเร็จ
เพราะยังมีปัจจัยอื่นด้วย
อย่าดีเกินไป พยายามหาทางซิกแซก
กฎเกณฑ์ในสังคม มักจะตั้งขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกโง่และงอมืองอเท้า ไม่ขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม
และไม่เคยทำจริง ไม่รู้อะไรก็อาศัยลอกฝรั่งอย่างเดียว
บางทีฝรั่งก็ศึกษามาผิด แล้วคนเหล่านี้ก็นำมาแปลความหมายผิดอีก
เราจึงเห็นกฎเพี้ยนๆเต็มไปหมด ถ้าเราทำตามกฎ
เราก็จะกลายเป็นคนโง่เหมือนคนที่ตั้งกฎ
แล้วกฎเกณฑ์ก็จะทำให้เราไม่แตกต่างจากคนอื่นในสังคม
ถ้าเราอยากเหนือกว่าคนอื่น เราก็ต้องทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ
นั่นคือต้องรู้จักหลบหลีกกฎเกณฑ์เหล่านี้
อะไรที่เป็นไปได้แล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ถือว่าใช้ได้
คนรวยมีนิสัยแตกต่างจากคนทั่วไปบางเรื่อง เรื่องหนึ่งคือ
คนรวยหลบเลี่ยงเก่ง ถ้าเจอถนนเส้นที่รถติด
คนรวยจะเลี่ยงไปเส้นที่รถไม่ติด ทำให้เขาไปถึงเป้าหมายเร็วกว่าคนอื่น
เมื่อทดลองทำแล้ว จะรู้หนทางซิกแซกเอง
ถ้ายังไม่เคยทำจะยังไม่รู้ การหลบเลี่ยงต้องอาศัยประสบการณ์
การทำหลายๆเรื่อง อาจจะได้พบทางหลบเลี่ยงจากเรื่องหนึ่ง
เพื่อมาใช้กับอีกเรื่องหนึ่ง อย่างเช่น
เรื่องการส่งเอกสารทางไปรษณีย์ ผู้ให้บริการรายหนึ่งบอกผมว่า
การส่งทางไปรษณีย์ ลูกค้ามักจะส่งเอกสารมาผิดเป็นประจำ
บางทีลืมเซ็นชื่อบ้าง การขอให้ลูกค้าส่งใหม่ ทำได้ลำบาก
และส่งใหม่ก็มักจะผิดอีก เมื่อรู้จุดโหว่เช่นนี้แล้ว
เวลาผมมีเอกสารบริษัทที่จำเป็นที่ต้องส่งให้ผู้ให้บริการรายอื่น
ถึงแม้ว่าจะเป็นเอกสารที่ไม่ค่อยจะถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของผู้ให้บริการ
รายนั้น เช่น หมดอายุแล้ว แต่หากตรวจสอบไม่ละเอียดก็จะไม่พบ
ผมก็จะส่งไปแล้วอาศัยจังหวะชุลมุน เรื่องก็จะผ่านมาได้ง่าย
ถ้าไม่ชำนาญอย่ารีบ
เริ่มต้นช้าๆ แล้วปลายทางจะไปได้เร็ว
ขั้นตอนการลงมือทำมี 2 ขั้นคือ ขั้นเริ่มต้นยังไม่ชำนาญต้องเริ่มช้าๆ
อาจต้องหยุด และตรวจสอบจนกว่าจะแน่ใจ
ขั้นต่อมาพอแน่ใจแล้วจึงค่อยรีบทำได้
ถ้ารีบทำทั้งๆที่ยังไม่ชำนาญอาจเดินทางผิดหลงไปไกล เช่น
ขับรถไปในสถานที่ไม่คุ้นเคย ควรถามทาง หรือค่อยๆขับดูป้าย
ดีกว่าขับเร็วแล้วเลยไป ต้องเสียเวลาย้อนกลับมาอีก
สถานที่ที่อยากจะไปก็อาจจะไปถึงไม่ัทัน
ใครที่เคยใช้สว่านเจาะกำแพงจะรู้ว่าต้องมี 2 ขั้นตอน
ขั้นแรกเจาะช้าๆเพื่อให้ตรงร่องเสียก่อน
แล้วขั้นที่สองจึงค่อยเจาะเร็ว
ถ้าเจาะเร็วรวดเดียวอาจจะลื่นไถลไปแนวอื่น
การเริ่มต้นทำช้าๆนั้น พอมีปัญหาก็สามารถแก้ไขได้ง่าย
แต่ถ้าทำจนใหญ่โต มีคนมาเกี่่ยวข้องเยอะ พอจะแก้ไขอะไรก็ลำบาก
มักจะกระทบคนนั้นคนนี้ เช่น ถนนที่มีรถวิ่งน้อย
เราสามารถจะปิดถนนซ่อมได้ทั้งวัน ค่อยๆทำไปจนรู้ว่าถนนเสียเพราะอะไร
และจะป้องกันอย่างไร แต่ในทางกลับกัน ถ้าถนนมีรถวิ่งมาก
เราอาจจะทำได้เฉพาะตอนกลางคืน ต้องเร่งทำให้เสร็จก่อนเช้า
ความรีบทำให้เราไม่มีเวลาได้เรียนรู้อะไรมากนัก
งานที่เน้นปริมาณ ต้องทำซ้ำหลายๆรอบ อย่าทำซ้ำในครั้งแรก
ให้ทำแบบแรกให้เสร็จก่อน แล้วรอดูผล ถ้าใช้แล้วไม่มีปัญหา
จึงค่อยทำซ้ำ
ทุกอย่างเป็นไปได้ เมื่อสามารถจัดการกับความเสี่ยงได้
และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
เรื่องที่คนทั่วไปเห็นว่า เสี่ยงอันตรายที่สุด อย่างเช่น การปีนเขา
ถ้าเรารู้จักจัดการกับความเสี่ยง รู้จักหลีกเลี่ยงความผิดพลาด
เราก็จะสามารถทำเรื่องนั้นได้โดยไม่มีอันตรายเลย
วิธีจัดการกับความเสี่ยงคือ คิดหาทางออกไว้หลายๆทาง
ถ้าพลาดวิธีนี้แล้ว จะได้มีวิธีอื่นไว้รองรับ
กฎของสังคมมนุษย์คือ เราสามารถจะทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีแค่ไหนก็ได้
ตราบที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
ถึงเราจะแอบเสพยาเสพติดอยู่คนเดียวที่บ้านทั้งวัน ก็จะไม่โดนตำรวจจับ
แต่เมื่อใดก็ตามที่เป็นข่าวออกหน้าหนังสือพิมพ์
ก็จะต้องถูกหน่วยงานของรัฐ เรียกไปบำบัด
เพราะถ้าปล่อยไว้จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่คนอื่น หรือ
ถ้าเราเป็นคนขายยาเสพติด ก็จะต้องโดนตำรวจจับ
เพราะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ไม่ยังมีใครรู้
แต่ถ้ามีคนเดือดร้อน สักวันหนึ่งก็จะถูกสืบสาวหาจนพบต้นตอ
ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเดือดร้อน การทำตัวผิดแปลกจากคนอื่นในสังคม
จะโดนจับตามอง ทำให้ทำอะไรขยับไปไหนก็ไม่สะดวก ดังนั้น
การทำตัวให้กลมกลืนกับคนอื่นในสังคม ไม่ทำตัวให้เป็นจุดเด่น
ก็เป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงเวลาที่ต้องอยุ่ร่วมกับคนอื่นในสังคม
ถ้าไม่อยากติดขัดกลางทางก็ต้องเตรียมพร้อม
ถ้าไม่อยากแก้ปัญหาที่จะตามมาในอนาคต
ก็ต้องคิดถึงปัญหานั้นไว้ล่วงหน้า แล้วหาทางป้องกันไว้
อย่าพูดคำว่า "ไม่สามารถ" สาเหตุสิ่งที่ต้องการยังไม่เกิดขึ้น
ไม่ใช่เพราะยังไม่ได้ลงมือทำ แต่เป็นเพราะ ไม่กล้าทำ
จึงไม่ได้เริ่มเสียที ถ้ารู้ว่าทำได้
ไม่จำเป็นคิดหาเหตุผลอื่นๆให้เสียเวลา ถึงแม้ว่าจะต้องเหนื่อยขึ้น
ถึงแม้จะไม่เคยมีใครทำก็ตาม ถึงแม้ว่าจะต้่องเสี่ยง
แต่ถ้ามีวิธีป้องกันความผิดพลาดและภัยอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว
ก็ลงมือทำได้เลย ถึงแม้ว่าจะต้องแหกกฎ
เราต้องเข้าใจว่ากฎมีไว้เพื่อควมคุมคนหมู่มาก
เพราะคนหมู่มากทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้มาก
แต่ถ้าเราไปคนเดียวอาจจะแหกกฎได้เพราะคนๆเดียวไม่ได้ทำให้เกิดผลกระทบ
อะไรมาก ถึงแม้จะเกิดผลกระทบกับสิ่งต่างๆบ้าง
ตราบใดที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็สามารถลงมือทำได้
แต่ถ้าเรื่องใดที่ต้องเสี่ยงโดยไม่มีอะไรมารองรับเมื่อผิดพลาด
หรือทำไปแล้วต้องไปกระทบกับชีวิตความกินดีอยู่ดีของผู้อื่นแล้ว
จงหาวิธีอื่น
อย่าเชื่อคนที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้ โดยที่เขาไม่เคยลงมือทำมาก่อน
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เป็นไปไม่ได้ แต่อยู่ที่เรายังทำมันไม่ดีพอ เช่น
ในช่วงปี คศ. 2000 ซึ่งเป็นช่วงที่โน๊ตบุ๊คกำลังขายดี
ผมจึงเกิดความคิดว่า ต่าจะมีหน้าจออย่างเดียว
ไม่ต้องมีคีย์บอร์ดให้เกะกะ คนทั่วไปก็คงคิดแบบเดียวกับผม
แต่พอคิดได้ว่าน้ำหนักของเครื่องจริงๆแล้วอยู่ที่แบตเตอรี่
จึงเลิกคิด ต่อมาอีก 2-3 ปี บริษัทแอ๊ปเปิ้ล นำโดยสตีฟ จ๊อบ
ก็ผลิตเครื่องแทบเบล็ต (tablet) ชื่อ ipad ที่ไม่มีคีย์บอร์ด
ออกมาวางขายจริงๆ มีน้ำหนักแบา ปรากฎว่า ขายดีมาก ดังไปทั่วโลก
แม้แต่โรงเรียนในหลายๆประเทศอย่างอินเดียและไทย
ถึงกับตั้งโครงการแจกแท็บเบล็ตให้เด็กนักเรียนทั่วประเทศเลยทีเดียว
จะเห็นว่าถ้าเราทำมันดีพอ คนก็จะตอบรับ
อุปสรรคขัดขวางความเจริญของโลกใบนี้ คือความคิดที่ว่า "เป็นไปไม่ได้"
คนส่วนใหญ่จึงเป็นได้แค่ผู้ตาม หรือความคิดที่ว่า "ใครๆก็รู้"
ก็เป็นอุปสรรคกีดขวางความเจริญเช่นกัน เพราะ
ในโลกใบนี้ยังมีคนอีกมากที่ไม่รู้ ยกตัวอย่างเช่น โคลัมบัส
ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ
แค่ล่องเรือไปพบทวีปใหม่เท่านั้น ใครๆก็ทำได้
วันหนึ่งในงานเลี้ยงกษัตริย์สเปน มีเสนาบดีพูดเรื่องนี้อีก
เขาก็หยิบไข่ต้มขึ้นมาหนึ่งใบ แล้วบอกให้ตั้งไม่ให้ล้ม
ไม่มีใครตั้งได้ เขาหยิบไข่ขึ้นมาทุบที่ปลายทำให้ไข่ตั้งได้
พวกนั้นบอกว่า "ใครๆ ก็ทำได้" เขาบอกว่า "แล้วทำไมไม่ทำ"
ถึงแม้ว่าความสำเร็จต้องประกอบด้วย 2 อย่างคือ ความคิด และ ลงมือทำ
แต่หัวใจสำคัญที่สุดของความสำเร็จ คือการลงมือทำ
เหมือนที่โคลัมบัสตื่นขึ้นมาล่องเรือออกจากแผ่นดิน
ถ้าไม่ลงมือทำก็ไม่มีวันสำเร็จ
อย่าสร้างเงื่อนไขขึ้นมาเป็นอุปสรรคขัดขวางความเจริญก้าวหน้า
ปัญหาเล็กๆน้อยๆที่ไม่ได้สร้างความเสียหายไม่ควรเก็บมาคิด
เรื่องที่ต้องคิดคือเรื่องที่ทำให้เกิดความสูญเสียมากๆ
หรือเรื่องที่แก้ไขไม่ได้เท่านั้น เช่น
ท่านไปเช่าบ้านคนอื่นเพื่อเปิดร้านขายของ
แต่กลับไปติดกับคำท้วงติงของคนรอบตัวว่าไม่ควรไปสร้างอะไรเพิ่มเติม
เพราะเป็นบ้านคนอื่น ไม่ใช่บ้านของเราเอง
ผลคือกิจการงานของท่านไม่ก้าวหน้าเพราะติดขัดเรื่องอุปกรณ์อำนวยความ
สะดวกในบ้าน แต่ในทางกลับกัน
ถ้าเลิกคิดถึงเรื่องนี้แล้วเปลี่ยนมาตกแต่งบ้านให้ดี
ท่านจะใช้บ้านนี้เพื่อหาเงินได้เต็มที่ จนมีรายได้มากขึ้น
มีเงินเก็บไปซื้อบ้านหลังใหม่ของตนเอง เรื่องใหญ่จริงๆที่ต้องคิดคือ
คือ ถ้าตกแต่งเสร็จแล้วเจ้าของบ้านจะไล่ จะทำอย่างไร
ท่านจำเป็นต้องหาวิธีป้องกันไว้เช่น ทำสัญญาระยะยาวอย่างรัดกุม และ
สืบประวัติเจ้าของบ้านและผู้อาศัยคนก่อน
ปัญหาเล็กๆน้อยๆที่สามารถให้คนอื่นทำแทนได้ จงมอบให้คนอื่นทำ
ปัญหาจะใหญ่หรือเล็ก อยู่ที่มุมมอง ถ้าเราอยู่ใต้หลังคา
เราก็จะมองว่าหลังคาสูง ปีนลำบาก แต่ถ้าเรายืนมองหลังคาบ้านคนอื่น
ซึ่งอยู่ต่ำกว่า เราก็จะเห็นว่า หลังคาเตี้ย ปีนไม่ยาก
ถ้าต้องการเริ่มทำสิ่งใหม่ ควรเตรียมรับความล้มเหลว
คนที่สำเร็จ ต่างจากคนที่ล้มเหลวคือ เวลาโดนปฎิเสธ
คนที่ล้มเหลวจะด้อยค่าตัวเอง แล้วหยุดแค่นั้น โดยลืมคิดไปว่า
นั่นเป็นแค่ความคิดเห็นของเขา ไม่ใช่ตัวเรา
ส่วนคนที่สำเร็จยังคงค้นหาต่อไปเรื่อยๆ จนเจอคนที่เห็นคุณค่า
ผมเห็นโทรศัพท์มือสองคุณภาพดีราคาถูก ขายอยู่ในอินเตอร์เน็ต
จึงต้องการซื้อมาใช้ในงาน โทรนัดกับเจ้าของว่า
วันพรุ่งนี้จะไปดูเครื่อง แต่พอถึงเวลาโทรไปอีกทีกลายเป็นว่า
ขายไปแล้ว มีคนอื่นรีบโอนเงินแล้วมาเอาไป พอได้ยินเช่นนั้น
ผมถึงกับใจเสีย ไปต่อไม่ถูก แผนที่วางไว้ต้องเปลี่ยนหมด
นี่คือตัวอย่างที่ว่า เมื่อต้องการเริ่มทำอะไร
เราควรเคยชินกับความล้มเหลวที่ต้องเกิดขึ้น และปัญหามากมายที่ตามมา
ถ้าทำอะไรแล้วไม่เจอปัญหา ถือว่าผิดธรรมชาติ
อุปสรรคมีอยู่ตามธรรมชาติ คนที่เริ่มทำอะไรครั้งแรกจึงมักไม่สำเร็จ
เพราะยังไม่เคยเจออุปสรรค พอเจออุปสรรคจึงต้องหยุด
คนประสบความสำเร็จต้องเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขอุปสรรค
ด้วยการเรียนรู้จากคนอื่น และทดลองทำจริง
คนที่ล้มเหลว คือคนที่มองว่า ความล้มเหลวกับความสำเร็จ
อยู่ตรงข้ามกัน แต่คนที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่มองว่า
ความล้มเหลวกับความสำเร็จอยู่คู่กัน ยิ่งล้มเหลวมาก
ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จมาก
คนที่อ่อนประสบการณ์ มักจะมองว่าทำอะไรต้องราบรื่น
ทำสำเร็จได้ในครั้งเดียว พอเจอปัญหา
พวกเขาจึงถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ แล้วเลิกทำ
เพราะพวกเขาไม่รู้ความจริงตามธรรมชาติว่า
ปัญหาเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ (to err is human)
ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องเจอปัญหาตามมามากมาย เพราะ
ชีวิตจริงเป็นเช่นนี้ (such is life) ธรรมชาติไม่สมบูรณ์แบบ
ธรรมชาติให้เรามาเพียงบางส่วน เช่น ให้อากาศหายใจ ให้น้ำ แค่นั้น
แต่ยังให้มาไม่ครบ แถมสิ่งที่ธรรมชาติให้มาไม่ครบ
ก็ยังกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ไม่ได้รวมกันอยู่ใกล้ๆตัวเรา
บางอย่างที่ให้มาก็ไม่สมบูรณ์แบบ เช่น ผืนดินที่ขรุขระ
เดินลำบาก นอกจากนี้สิ่งทั้งหลายในโลกยังไม่แน่นอน
บางวันเราอาจจะเจอปัญหารุมเข้ามาหลายเรื่อง
บางวันเราอาจจะไม่เจอปัญหาเลย บางทีกำลังทำอยู่ดีๆ
นาทีต่อมาก็พังเสียแล้ว
คนที่มีประสบการณ์ เวลาทำอะไร
มักจะมองว่าไม่สำเร็จในครั้งแรกครั้งเดียว ต้องทำซ้ำๆอีกหลายครั้ง
จึงจะสำเร็จ ถ้าเรื่องไหนทำสำเร็จได้ในครั้งเดียว
เขากลับรู้สึกว่าผิดปกติ
คนที่มองปัญหาเป็นเรื่องปกติที่ต้องเจอ จะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เรื่องไหนยิ่งมีปัญหามาก จึงยิ่งมีคนทำน้อย คนที่ประสบความสำเร็จ
คือคนที่แก้ปัญหาได้
หรือพูดอีกแง่หนึ่งได้ว่า
เมื่อรู้แล้วว่าทำอะไรมักจะไม่สำเร็จในครั้งแรกเพียงครั้งเดียว
ดังนั้น ไม่ว่าจะเริ่มทำอะไร ควรเผื่อเวลาสำหรับความผิดพลาดไว้ด้วย
นั่นคือ ควรเริ่มทำแต่เนิ่นๆ
แต่ไม่ได้หมายความว่านึกอะไรได้แล้วต้องทำทันที
ควรรู้จักทำในเวลาที่เหมาะสม และ รู้จักเรียงลำดับความสำคัญด้วย
ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะทำสำเร็จได้ในครั้งแรกเสมอ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จชีวิตทุกคน ล้วนมองว่า
ตราบใดที่เรายังไม่ล้มเลิกความพยายาม ปัญหาก็ไม่ใช่ความล้มเหลว
แต่แสดงว่าเราใกล้จะพบทางสู่ความสำเร็จแล้ว
เพราะเรารู้แล้วว่าวิธีไหนไม่ดี
ต่อไปจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำวิธีนั้นอีก เช่น คำกล่าวของเอดิสันว่า
"I have not failed. I've just found 10,000 ways that won't work."
หรือคำกล่าวของนักปีนเขาชื่อดัง Ed Viesturs ที่ว่า "if you goof up,
it's in the right direction." (ถ้าทำผิดพลาด นั่นคือมาถูกทางแล้ว)
หรือ แจ๊คหม่า ผู้ที่รวยที่สุดในจีน จากการก่อตั้งอะลีบาบา
มีกฎข้อแรกว่า "จงเคยชินกับการถูกปฎิเสธ"
หรือดูตัวอย่างผู้พันแซนเดอร์สผู้ก่อตั้ง KFC ซึ่งล้มเหลวมาตลอดชีวิต
จนกระทั่งอายุ 65 เขาจึงเริ่มออกเดินทางทอดไก่เพื่อเสนอขายสินค้า
แต่ยังถูกปฎิเสธถึง 1009 ครั้งกว่าจะเจอคนที่ตอบว่า yes ด้วยเหตุนี้
เวลาที่เราทำพลาด
ทำให้ต้องเหนื่อยฟรีหรือต้องเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
อย่าคิดว่าเสีย แต่ควรคิดว่า เราได้รู้วิธีที่ไม่ถูกต้อง
วันหลังจะได้ไม่ทำเช่นนี้อีก
แน่นอนวา ถ้าไม่อยากเจอปัญหา ต้องหาผู้มีประสบการณ์มาสอน แต่ถ้าไม่มี
ต้องลุยเอง ก็จะต้องเจอปัญหาแน่นอน แต่สุดท้ายแล้ว เราก็จะพบว่า
ถ้ายังไม่ตาย เราก็ยังเริ่มต้นทำใหม่ได้
การไปถึงจุดหมาย ไม่ได้มีแค่วิธีเดียว (there's no single answer,
but there are ways to stay safe.) ปัญหาช่วยให้เราพบหนทางป้องกัน
ไม่ให้เกิดขึ้นอีก ถ้าเราเจอปัญหาแล้ว ถือว่าโชคดี เพราะ
เราจะได้หาเวลาว่างหาทางป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นอีก
ต่อไปเราจะได้มีชีวิตที่สุขสบาย
ไม่ต้องคอยระแวงว่าปัญหาจะเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
องค์การนาซ่า เป็นตัวอย่างที่ดี ของความพยายาม
เอาชนะความล้มเหลวในช่วงเริ่มต้น เช่น
พยายามใช้ผ้าเคลือบกันน้ำมาทำบอลลูน ที่ใช้บนความสูงมากๆได้
แต่บอลลูนที่สร้างลูกแรกๆก็ตกไปหลายลูก,
หรือพยายามคิดค้นวิธีส่งยานอวกาศ ไปลงจอดบนดาวอังคาร
ก็ตกลงไปกระแทกพื้นพังจนใช้งานไม่ได้ทุกครั้ง
แต่เขาก็ยังไม่ละความพยายาม จนในที่สุดก็สามารถทำสำเร็จ
คนที่ไม่ประสบความสำเร็จคือ ทำครั้งแรกล้มเหลว
แล้วไม่พยายามเป็นครั้งที่สอง คนส่วนใหญ่จะทำครั้งที่สองได้ถูกต้อง
และการทำครั้งที่สองยังทำได้เร็วอีกด้วย
เพราะเคยทำครั้งแรกมาแล้วจึงรู้แล้วว่า อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้
ล้มได้ แต่อย่าเลิก
คนที่ประสบความสำเร็จมีลักษณะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ
ล้มแล้วไม่เลิก บางครั้งเราอาจหมดไฟ หมดกำลังใจ
เราต้องการเวลาอยู่เฉยๆ ไม่ต้องการทำอะไรสักพัก แต่ในไม่ช้า
ต้องพยายามลุกขึ้นมาสู้ใหม่ วิธีการคือ สร้างกำลังใจ
ด้วยการออกไปเห็นโลก เห็นมุมมองใหม่ๆ ให้มากขึ้น อาจอ่านหนังสือ หรือ
หาเช่าวีดีโอแนวที่สนใจมาดู ภาพยนต์แต่ละเรื่อง จะแฝงข้อคิดไว้
ความจริงที่เห็นหรือคิดได้ จะช่วยให้ เรามีกำลังใจสู้ต่อไป
เช่น
- มีแต่ปลาที่ตายแล้วเท่านั้น ที่จะลอยตามน้ำ
เราเห็นตัวอย่างมามากมายในสังคม ว่า ผู้แพ้ มักจะชอบตามใจตนเอง
เพราะใจไม่แข็งพอ
ผู้ที่ใจแข็งพอที่จะฝืนใจทำในสิ่งที่ตนเองไม่อยากทำ คือ ผู้ชนะ
- คนเรียนเก่งต่างกับคนเรียนอ่อนตรงที่
คนเรียนอ่อนเมื่อรู้แล้วหยุดอยู่แค่นั้น
แต่คนเรียนเก่งพยายามหาความรู้มากขึ้นไปอีก
- คนรวยต่างจากคนจนตรงที่ ถึงแม้ว่าจะเริ่มต้นเหมือนกันคือ
ไม่มีบ้านอยู่เหมือนกัน สร้างบ้านด้วยสังกะสีหรือมุงจาก
แต่คนจนพอสร้างเสร็จแล้วก็พอใจอยู่แค่นั้น หรือหมดแรงก่อน
ส่วนคนรวย จะไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี จึงสร้างต่อไปเรื่อยๆ
ปัญหาที่แก้ยาก ควรทิ้งไว้ แล้วเดินหน้าต่อไป
แล้วค่อยย้อนกลับมาแก้ไขทีหลัง
การแก้ปัญหาที่แก้ยาก จะต้องใช้เวลามาก อาจต้องจมปลักอยู่กับที่
หรือแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าปัญหานั้นทิ้งได้ ไม่เดือดร้อนใคร
ก็ควรจะทิ้งไว้ก่อน แล้วเดินหน้าต่อไป ก็จะมีความพร้อมมากขึ้น
มีประสบการณ์มากขึ้น สามารถกลับมาแก้ไขปัญหาเดิมได้ง่ายขึ้น เหมือน
พระเจ้าตากสิน ที่ทิ้งกรุงศรีอยุธยา แล้วกลับมากู้กรุงคืนในภายหลัง
กาลเวลาสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่งได้ เมื่อเวลาผ่านไป
จะมีพัฒนาการใหม่ๆเกิดขึ้น
ทำให้เกิดทางเลือกใหม่ๆมาแก้ปัญหาเดิมที่แก้ไม่ได้
กาลเวลาสามารถทำให้ ผู้ชนะกลายเป็นผู้แพ้ และผู้แพ้กลายเป็นผู้ชนะ
มีตัวอย่างของ โทรศัพท์มือถือในเมืองไทย ซึ่งครั้งหนึ่ง
เอไอเอสเคยยิ่งใหญ่เพราะมีคลื่น 900mhz อยู่ในมือ
เป็นคลื่นที่ทะลุทะลวงไปได้ไกล ทำให้คนต่างจังหวัดใช้กันมาก
ส่วนทรูเป็นแค่โทรศัพท์มือถือรายเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครใช้
เพราะหาคลื่นตามต่างจังหวัดไม่ค่อยเจอ
ต่อมาหลังจากประมูลคลื่นใหม่ในปี 2559 บริษัททรูซึ่งมีเงินทุนหนากว่า
สามารถประมูลคลื่น 900mhz ได้สำเร็จ
แถมยังมีคลื่นความถี่อยู่ในมือมากที่สุดในประเทศไทย
ทำให้ผู้ใช้เอไอเอส ย้ายมาอยู่กับทรูเป็นจำนวนมาก
ทุกอย่างต้องปรับเปลี่ยนได้
ทำครั้งแรก ไม่มีทางทำได้ดี เพราะยังรู้ไม่หมด
ยกเว้นจะทำอยู่เป็นประจำ ถึงแม้จะทำอยู่เป็นประจำ
ก็ยังมีโอกาสเจอทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าในอนาคต
การทำอะไรจึงต้องเผื่อให้ปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ในภายหลัง เช่น
เวลาสร้างบ้าน ไม่ควรจะทำฝ้าเพดานแบบตอกตะปูยึดติดตาย
แต่ควรจะทำแบบถอดได้ เผื่อวันหลังจะมีเรื่องที่ไม่คาดฝันต้องทำเพิ่ม
เช่น ต้องเดินสายไฟเพิ่ม หรือ ใส่ฉนวนกันความร้อน
โลกนี้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สิ่งใดที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้
จะทำให้ชีวิตล้าหลังและเสื่อมถอย
มีภูมิคุ้มกันต่อคนอื่น
อย่าเลียนแบบใคร ถ้าผลลัพธ์ออกมาเหมือนกัน
จงทำวิธีไหนก็ได้ที่ตนเองถนัด และ ทำตามกำลังของตนเอง
การทำอะไร
ควรดูรากเหง้าของตัวเอง เพราะ แต่ละคนมีพื้นฐานความรู้มาไม่เหมือนกัน
ถ้าเราไปเลียนแบบคนอื่น นั่นคือเรามองเขาที่ปลายเหตุ โดยที่ไม่รู้ว่า
เขาเริ่มต้นมาอย่างไร มีพื้นฐานอะไร ถึงกลายมาเป็นแบบนั้น
ถ้าเราไปทำตามเขา แต่ไม่มีพื้นฐานเหมือนเขา เราจะทำได้ช้า
แล้วก็จะทำได้ไม่ดี สุดท้ายต้องเสียเวลาไปเริ่มหาพื้นฐานมาใหม่
เหมือนนิทานเรื่องแม่วัวกับอึ่งอ่าง
ที่อึ่งอ่างพยายามพองตัวให้เท่าแม่วัว จนตัวแตกตาย
แต่ถ้าเราทำตามที่ตนเองถนัด เราจะทำได้เร็วโดยไม่ต้องไปเริ่มต้นใหม่
คนในสังคม เต็มไปด้วยอวิชชาคือความไม่รู้
แถมหลายคนยังมีความคิดบกพร่อง อันเนื่องมาจากการเลี้ยงดูหรือสังคม
เราจึงไม่ควรเลียนแบบใคร หรือเชื่อความคิดของใครง่ายจนเกินไป เพราะ
การทำตามคนอื่น อาจจะทำผิดให้เราทำผิดได้
เพราะความคิดของเขาอาจดูพื้นๆเหมือนดี
แต่เมื่อเวลาผ่านไปจึงพบว่าคิดผิด
การเลียนแบบโดยที่รู้ไม่จริง และไม่ปรึกษาผู้รู้จริง
จะสร้างปัญหาตามมามากมาย เหมือนรัฐบาลอาร์เจนตินาในอดีต
ที่ส่งนำตัวบีเวอร์มาปล่อยในป่า เพื่อส่งเสริมการค้าหนังบีเวอร์
ให้เหมือนในแคนาดา
แต่เนื่องจากอาร์เจนตินาไม่มีสัตว์นักล่าตามธรรมชาติเหมือนแคนาดา
บีเวอร์จึงแพร่พันธุ์มากมาย
แต่ละคนมีเหตุผลต่างกัน เช่น อย่าง google ซึ่งเป็น search engine
ใช้เครื่องราคาถูก ถึงเครื่องเสียบ่อยก็ไม่เป็นไร
เพราะข้อมูลไม่สำคัญ แต่ถ้าข้อมูลสำคัญ
จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่เชื่อถือได้มากขึ้น
ถ้าไม่รู้จะทำอย่างไร
ค่อยไปดูต้วอย่างจากสิ่งที่คนอื่นเคยทำไว้แล้ว
เรื่องที่มีคนทำไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ถ้าเราทำตามก็จะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นกว่าการเริ่มคิดใหม่จากศูนย์
ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนหมู่มาก มักจะมีมาตรฐานอยู่
อย่างเช่น การวัด ก็มีคนกำหนดมาตรฐานไว้แล้ว เป็นเมตร และนิ้ว
เมื่อเริ่มต้นใหม่ เราอาจจะต้องทำเหมือนที่คนอื่นเคยทำไปก่อน
ต่อเมื่อชำนาญแล้ว พบว่าสิ่งที่คนอื่นเคยทำไว้ยังไม่ดีพอ
ทำตามแล้วยังเกิดปัญหา จึงค่อยปรับเปลี่ยนต่อไป
ทำให้มีก่อน แล้วค่อยทำให้ดีทีหลัง สร้างโครงให้เสร็จก่อน
แล้วค่อยทำรายละเอียดปลีกย่อยทีหลัง
ผู้ที่มีประสบการณ์จะรู้ดีว่า การสร้างอะไรก็ตาม
ควรทำแบบหยาบที่สุด มีตัวเลือกน้อยที่สุด เพื่อให้ใช้งานได้ก่อน
แล้วค่อยขยับขยาย จัดระเบียบ ทำให้กะทัดรัด หรือ ทำให้สวยงามทีหลัง
ถ้ามัวแต่ทำให้ดี ทำให้ใหญ่โต ทำให้สวยงาม ทำให้เปลี่ยนอะหลั่ยง่าย
หรือทำให้ตั้งค่าได้ จะทำให้มีส่วนประกอบมากขึ้น จะเสียเวลามากขึ้น
จนทำไม่เสร็จเสียที เพราะ
- ส่วนประกอบต่างๆ คือตัวสร้างปัญหา ยิ่งมีส่วนประกอบมาก
ยิ่งมีโอกาสติดขัดมากขึ้น หากไม่ทำโครงให้เสร็จก่อน
แต่รีบทำแต่รายละเอียดปลีกย่อย จะทำให้งานซับซ้อนขึ้น
การทำโครงขณะรายละเอียดซับซ้อน จะทำยากขึ้น
พอรายละเอียดย่อยๆเริ่มซับซ้อน แล้วเกิดปัญหาติดขัดขึ้น
จะแก้ได้ยาก เพราะ ไม่รู้ว่าเกิดปัญหาขึ้นตรงไหน
การจะรู้ปัญหาต้องเริ่มจากง่ายที่สุด
แล้วค่อยๆเพิ่มตัวเลือกไปทีละตัว
พอเริ่มติดปัญหาก็จะรู้ได้ว่าเป็นที่ตัวเลือกใหม่ที่เพิ่มเข้าไป
- การทำรายละเอียดปลีกย่อย ต้องใช้เวลามาก
การทำให้ดีจะยากกว่าการทำให้ภาพรวมเสร็จเป็นสิบเป็นร้อยเท่า
ถ้าใช้เวลาสร้างให้เสร็จแค่ 1 วัน อาจจะใช้เวลายุ่งกับส่วนประกอบ
เพื่อทำให้ดีถึง 1 เดือนหรือ 1 ปีเลยทีเดียว ดังนั้น
งานที่ต้องการทำให้ดี ต้องยุ่งกับรายละเอียดปลีกย่อย
จึงควรหาคนมาช่วย การที่จะทำให้ดีได้
ต้องสละเวลาคิดและอ่านตำราจำนวนมาก
ทำให้ส่วนย่อยๆแต่ละชิ้นส่วนก็จะใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก
- เมื่อเรายังมองภาพรวมไม่ออกว่าแต่ละชิ้นเชื่อมโยงกันอย่างไร
จึงทำรายละเอียดปลีกย่อยได้ช้าลง
- ถ้าทำไปแล้วบางชิ้นส่วนหาไม่ได้จริงๆ
จะทำให้สร้างภาพรวมไม่เสร็จ
ทำให้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา
สุดท้ายการสร้างสิ่งนี้ต้องหยุดชะงักลง
ถ้าหากว่าเราเสียเวลาทำรายละเอียดปลีกย่อยไปมากแล้ว
เวลานั้นเท่ากับสูญเปล่า แต่ถ้าเราทำภาพรวมก่อน แล้วติดขัดขึ้นมา
จะเสียเวลาไปเพียงเล็กน้อย
- ถ้าทำชิ้นส่วนย่อยๆให้ดีไม่ได้
เรายังสามารถย้อนกลับไปใช้รูปแบบหยาบๆที่ทำขึ้นมาครั้งแรก
- งานบางชิ้นที่ตนเองไม่ถนัดมักจะต้องไปติดอยู่ตรงนั้น เช่น
บางคนถนัดเรื่องเทคโนโลยี แต่ไม่ถนัดเรื่องความสวยงาม
ถ้าเราต้องทำเรื่องไม่ถนัด ไม่นานก็จะเบื่อ ไม่อยากทำต่อ
ทางที่ถูกควรจะเว้นไว้ให้ทำเรื่องที่เสียเวลาทีหลัง
ถ้าสุดท้ายแล้วทำไม่ได้
หรือไม่มีเวลาทำก็ให้คนที่ถนัดด้านนั้นมาทำ
- เมื่อทำภาพรวมเสร็จแล้วก็จะมีกำลังใจที่จะทำงานอย่างอื่นต่อ
เหมือนยกภูเขาออกจากอก จะมาแก้ไขงานเล็กๆก็ง่าย
เพราะสบายใจแล้วย่อมคิดออกได้ง่าย แต่ถ้าทำภาพรวมยังไม่เสร็จ
ก็จะทำส่วนย่อยๆไปด้วยความกังวล
ถ้าเราแบบง่ายๆเพื่อที่จะทำให้เสร็จพอใช้งานได้ก่อน
มักจะใช้เวลาไม่นาน เมื่อใช้งานได้แล้ว
กระบวนการจัดระเบียบซึ่งเป็นงานด้านวิศวกรรม จึงค่อยตามมา
ขั้นตอนการสร้างมีดังนี้
- ทำให้เสร็จ
- ทำให้แข็งแรง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการซ่อม
- จัดระเบียบ เช่น
ทำให้ถอดเปลี่ยนอะหลั่ยง่ายเผื่อเวลาเสียแล้วจะได้ซ่อมแซมง่าย
ทำให้สวยงาม ทำให้กะทัดรัด ประหยัดพลังงานและทรัพยากร
- เพิ่มความหลากหลาย ทำให้รองรับผู้ใช้หลากหลายขึ้น เช่น
ถ้าเขียนโปรแกรมก็อาจจะเพิ่มภาษาอื่น
หรือถ้าสร้างบ้านก็อาจจะเริ่มทำห้องสำหรับเด็ก
คนส่วนใหญ่ไม่รู้ขั้นตอนเหล่านี้ โดยเฉพาะพวกที่เรียนมามาก
มักจะทำงานใหญ่ไม่สำเร็จ เพราะ ชอบเริ่มต้นจากรายละเอียดปลีกย่อย
เริ่มทำขั้นตอนสุดท้ายก่อน ต่างจากคนที่ไม่มีความรู้
ที่มักจะทำขั้นแรกก่อน เราจึงเห็นได้ว่า คนที่เรียนมาน้อย
มักจะเป็นเจ้าของกิจการ ส่วนคนที่เรียนมามาก มักจะเป็นลูกจ้าง เช่น
การสร้างบ้าน ถ้าอยากจะสร้างให้ดีๆจะได้อยู่ไปนานๆ
ปรากฎว่าไม่ได้สร้างหรือสร้างไม่เสร็จเสียที
เพราะว่าเงินและกำลังไม่พอ
เราจึงควรเริ่มจากสร้างหลังเล็กๆให้พออยู่ได้ก่อน
แล้วค่อยๆขยับขยายไป
คนที่ทำภาพรวมเสร็จ คือคนที่ไม่กลัวทำผิดพลาด เมื่อภาพรวมเสร็จแล้ว
จึงค่อยมาแก้ไขรายละเอียดปลีกย่อยให้ถูกต้อง อย่างเช่น
คนเขียนหนังสือบางคน พอจะเริ่มเขียน ก็กลัวว่าจะเขียนผิด
จึงเขียนไม่ออกเสียที คนที่เขียนหนังสือจบ
คือคนที่เขียนไปเรื่อยๆจากประสบการณ์ที่เจอ
ถูกหรือผิดรอเจอประสบกาณ์มากขึ้นจะรู้เอง แล้วค่อยมาแก้ไขทีหลัง
ถ้าคิดจะสร้างรถสักคัน คนที่ขาดประสบการณ์
จะไปเลียนแบบรถยนต์ที่วางขายอยู่ในท้องตลาด ทำให้ทำไม่เสร็จเสียที
เพราะว่า อะหลั่ยแต่ละชิ้นต้องใช้เงินลงทุนผลิตแม่พิมพ์
ต้องขันน็อตถอดประกอบง่าย ส่วนคนที่ประสบการณ์
จะเริ่มจากหาอะหลั่ยที่พอจะหาได้ เช่น ไม้บ้าง
เศษเหล็กที่พอจะหาได้นำมาอ๊อกติดกัน ไม่ต้องขันน็อตให้สวยงาม
ใช้เวลาไม่นานเราก็จะทำเสร็จเป็นรถขึ้นมา
ทำเสร็จแล้วค่อยมาดัดแปลงอะหลั่ยแต่ละชิ้นให้แข็งแรง สวยงาม
หรือถอดเปลี่ยนได้ ข้อควรระวังก็คือ หากยังทำได้ไม่แข็งแรง
ไม่ควรจะนำไปให้คนอื่นใช้ เพราะถ้าเขาใช้แล้วมีปัญหา
ปัญหานั้นจะมาตกอยู่กับเรา ทำให้ต้องเสียเวลาไปกับการแก้ปัญหาให้เขา
จนไม่มีเวลาเหลือพอที่จะเริ่มทำอะไรใหม่ๆ
หรือถ้าจะเขียนโปรแกรมสักตัว ควรจะเขียน hard code
สั้นๆรวกๆให้พอใช้งานได้จริงในเรื่องที่ต้องการก่อน
ไม่จำเป็นต้องให้ฉลาดมากนัก แล้ววันหลังค่อยมาทำให้ฉลาดขึ้น
มีตัวเลือกมากขึ้น และทยอยเปลี่ยนจาก hard code ไปใส่ใน
configuration ให้คนใช้ตั้งค่าได้ ถ้ามัวแต่สร้าง function สร้าง
configuration ก็จะทำไม่เสร็จเสียที
เพราะว่ามัวแต่ยุ่งกับรายละเอียดปลีกย่อยจนหมดแรงเสียก่อน
ถ้ามัวแต่จัดระเบียบตั้งแต่แรก พอทำไปเรื่อยๆ
ความหลากหลายเริ่มมากขึ้น เราอาจพบว่า สิ่งที่เราเคยจัดระเบียบไว้
ใช้ไม่ได้ เพราะ ไม่ครอบคลุมกับความหลากหลายที่มากขึ้น
ทำให้การจัดระเบียบครั้งแรกเท่ากับเสียเปล่า
แต่ถ้าเราทำให้เสร็จจนหมดแล้ว เราจะเห็นความหลากหลายทั้งหมด
ทำให้การจัดระเบียบเพียงครั้งเดียว ครอบคลุมทุกรายละเอียด
รายละเอียดปลีกย่อย ถ้านึกได้ให้จดไว้ก่อน
แล้วค่อยทำหลังจากที่ภาพรวมเสร็จแล้ว
ถ้ากำลังทำภาพรวม แล้วติดตรงไหน ให้ข้ามไปก่อน
รอให้เสร็จเกือบหมดแล้ว ค่อยกลับมาแก้ปัญหาตรงนั้น เพราะ
ถ้ามัวแต่แก้ปัญหากลางทาง จะเกิดความกังวลว่ายังมีงานอื่นเหลืออีกมาก
ทำให้คิดแก้ปัญหาไม่ค่อยออก
แต่พอใกล้เสร็จแล้วกลับมาแก้ไขจุดที่ติดปัญหา จะสบายใจ
พอสบายใจแล้วก็สามารถแก้ปัญหาที่เหลืออยู่ได้ง่าย
เมื่อทำภาพรวมเสร็จหมดแล้ว ใช้งานได้แล้ว ก็จะเห็นภาพรวม
พอสร้างใหม่หรือทำให้ดีก็จะง่าย และ พอใช้งานไปได้สักพัก
ก็จะรู้ว่ามีจุดบกพร่องอะไร
ตรงไหนที่พิสูจน์ด้วยกาลเวลาแล้วว่าใช้ได้ผล พอสร้างใหม่อีกรอบ
ก็จะสร้างสิ่งนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ถ้าจะทำอะไรให้ดี ต้องทำซ้ำหลายๆรอบ
ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ตั้งแต่เรียนหนังสือ เขียนหนังสือ เขียนโปรแกรม
จนถึงสร้างรถยนต์ ทำครั้งแรกจะยังไม่ดี เพราะ
ต้องใช้ความคิดไปกับการทำให้เสร็จ ทำให้คิดได้ไม่รอบคอบ
พอทำเสร็จแล้ว กลับมาตรวจทานใหม่อีกรอบ ก็จะพบจุดบกพร่อง
พอแก้ไขจุดที่บกพร่องแล้ว สิ่งนั้นจึงจะเริ่มดีขึ้น
ถึงแม้ว่าการแก้ไขจุดเล็กๆจะไม่ใช่เรื่องยากเหมือนการทำให้เสร็จ
แต่เป็นเรื่องที่เสียเวลามาก
เพราะสิ่งใหญ่ๆประกอบด้วยส่วนเล็กๆจำนวนมากมารวมกัน
การทำจุดเล็กๆแต่ละจุดให้ดี ต้องผ่านการทดสอบซ้ำแล้วซ้ำอีก
ว่าใช้ได้จริงในสภาพแวดล้อมต่างๆ ยกตัวอย่าง รถยนต์
แค่ต่อมลูกหมากตัวเดียว ก็ต้องทดสอบทั้งลุยน้ำ ลุยทราย ลุยโคลน
วิ่งทางไกล วิ่งทางขรุขระ เมื่อเจอปัญหาแล้วก็ต้องนำมาแก้ไขปรับปรุง
ไม่ให้มีปัญหา คนที่ทดสอบไม่ครบ หรืออุทิศเวลาให้กับเรื่องเล็กๆไม่พอ
เวลาเจอสภาพแวดล้อมเหล่านั้น ก็จะพังใช้การไม่ได้
การเรียนหนังสือก็เช่นกัน อ่านจบรอบแรกมักจะจำไม่ได้หมด
พออ่านรอบที่สอง จะเริ่มทำความเข้าใจในรายละเอียดย่อยๆ จึงเริ่มจำได้
คนที่เรียนเก่งจึงต้องอ่านหนังสือหลายรอบ
ทำให้เสร็จทีละอย่าง มิฉะนั้นจะทำไม่เสร็จเลยสักอย่าง
มนุษย์สามารถทำงานได้ดีที่สุด เมื่อทำทีละอย่าง เพราะ
การทำอย่างเดียวจะมีสมาธิดีที่สุด
มนุษย์ทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันไม่ได้หรือทำได้ก็ไม่ดี
แต่ระหว่างที่เรากำลังทำอะไรสักอย่าง มักจะนึกขึ้นมาได้ว่า
มีอีกอย่างที่ต้องทำ เพราะว่าไม่มีอะไรพร้อมสมบูรณ์
คนส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปทำอีกอย่าง โดยที่ของเดิมยังทำไม่เสร็จ
ของเดิมก็จะค้างอยู่อย่างนั้น ของใหม่ต้องมาเริ่มศึกษาใหม่
พอทำของใหม่ไปได้สักพัก ของเดิมมีปัญหา
ต้องเปลี่ยนกลับมาทำของเดิมอีก แต่จะลืมไปแล้วว่าทำอย่างไร ทำถึงไหน
ต้องมาเริ่มต้นศึกษาใหม่อีก เช่น เครื่องมืออาจเก็บไปหมดแล้ว
ต้องรื้อออกมาใหม่ แต่ถ้ายังไม่เก็บเครื่องมือ
เครื่องมือที่ทำค้างอยู่ก็จะวางเกะกะ
ธรรมชาติของโลกใบนี้ หาความแน่นอนไม่ได้
บางทีเราก็มีเรื่องประดังเข้ามาให้ทำหลายเรื่องพร้อมกัน
บางทีก็ไม่มีเรื่องอะไรมากวนใจเลย แต่ข้อจำกัดของมนุษย์คือ
ทำได้ทีละอย่าง ถ้าทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน จะผิดพลาดได้ง่าย
แม้แต่งานง่ายๆ อย่างการยกของ ถ้าเรายกจานด้วยมือทั้งสองข้าง
ข้างละใบ แรกๆอาจจะไม่เจอปัญหาอะไร
แต่พอมือข้างหนึ่งไปเกี่ยวกับอะไรเข้า
จานใบหนึ่งมักจะตกเพราะไม่มีมืออีกข้างมาช่วยยึดไว้ ด้วยเหตุนี้
ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ควรทำทีละอย่าง (one thing at a time)
และต้องมีทรัพยากรไว้เผื่อความผิดพลาดระหว่างทางด้วย
สร้างสิ่งต่างๆให้มั่นคงแข็งแรงเพื่อเป็นฐานของสิ่งต่อๆ
ไป
เรามีทางเลือกในการสร้างสิ่งต่างๆเพียง 2 ทางคือสร้างให้แข็งแรง
เพื่อเป็นที่รองรับงานต่อๆไปที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต หรือ
สร้างแล้วใช้ได้ไม่นานก็พัง ทำให้ไม่มีพื้นฐานที่จะทำอย่างอื่นต่อไป
แล้วยังหมดกำลังใจที่จะก้าวไปข้างหน้าอีกด้วยเพราะ
คิดจะทำทีไรก็ต้องเริ่มทำใหม่ตั้งแต่ต้น
และไม่รู้จะทำไปทำไมกลัวทำไปแล้วก็พังอีก
การทำให้สวยงามเป็นระเบียบกับการทำให้แข็งแรงเป็นคนละเรื่องกัน
ถ้าจะสร้างรถสักคัน เราอาจนำเหล็กมาเชื่อมกันเพื่อให้แข็งแรง
แต่ถ้าจะทำให้สวยงามแก้ไขง่ายก็ต้องเปลี่ยนมาใช้น็อต
การทำให้แข็งแรงทำได้ง่ายกว่าและมีประโยชน์มากกว่าการทำให้สวยงาม
อย่าเสียน้อนเสียยาก เสียมากเสียง่าย
วิธีคิดที่เริ่มต้นด้วยการประหยัดเพียงอย่างเดียว
เป็นวิธีคิดที่ผิดพลาด เพราะไม่ได้มองความสูญเสียด้านอื่น
ที่มีค่ามากกว่า
บ่อยครั้งที่เราต้องเลือกระหว่างเวลากับเงิน เช่น
จะเดินทางเร็วขึ้นแต่ใช้เงินมากขึ้น
หรือจะเดินทางช้าลงแต่ใช้เงินน้อยลง ฯลฯ คนส่วนมากคิดว่า
มีเวลาว่างไม่รู้จะทำอะไร จึงยอมเสียเวลามากกว่าเสียเงิน
จนกระทั่งเริ่มอายุมากขึ้น จึงรู้ว่าคิดผิด เพราะเวลาว่างที่ผ่านมา
สามารถนำไปศึกษาหาความรู้หรือทดลองสิ่งใหม่ๆ
เพื่อเป็นต้นทุนในชีวิตได้ในอนาคต พอแก่ตัวลงคิดทำอะไรก็ลำบาก
ถ้าไม่มีต้นทุนมาก่อนหน้านี้ เพราะการจะทำเรื่องใดให้ดี
ต้องอาศัยเวลาบ่มเพาะจนกลายเป็นประสบการณ์
เราจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ในการเอาตัวรอดในวันข้างหน้า
เพราะเวลาเผชิญปัญหาจริง จะไม่มีเวลาหาความรู้
เพราะการศึกษาหาความรู้ มักจะไม่ได้ใช้เวลาแค่ 1-2 วัน
ไม่ว่าจะเป็นความรู้เรื่องหนทางทำมาหากิน หรือเรื่องสุขภาพ
อาจต้องใช้เวลาศึกษาค้นคว้าหลายปี แถมการหาความรู้ยังต้องมีสมาธิ
แต่เวลาเกิดปัญหาขึ้น เรามักจะร้อนรนจนไม่มีเวลาเหลือ
แม้แต่การเอาตัวรอดจากผู้คนในสังคม
ก็จำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ล่วงหน้าไว้
เพราะเมื่อเกิดการโต้แย้งกันขึ้นแล้วเราเวลาตอบจำกัด
ความประหยัดทำให้เรามีเงินเหลือเก็บมากขึ้นก็จริง แต่การเติบโต
สำคัญกว่าการรัดเข็มขัด เพราะ
การรัดเข็มขัดทำให้การเติบโตหยุดชะงัก
จนไม่มีเงินพอที่จะนำไปใช้เพื่อหารายได้เพิ่ม จริงอยู่ว่าความประหยัด
เป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ควรทำด้วยความเหมาะสม นั่นคือ
อย่าคิดว่าเสียอะไร แต่ควรคิดว่าได้อะไร
แล้วจึงค่อยมาชั่งน้ำหนักว่าได้คุ้มเสียหรือไม่
บางคนมองแต่เรื่องความประหยัด บางคนเข้าใจว่า
การเก็บเงินเท่านั้นที่จะทำให้ได้สิ่งที่ต้องการ
ทำให้เขาไม่ใช้จ่ายอะไรเลย วิธีคิดแบบนี้ผิดพลาด เพราะเขาลืมไปว่า
เงินที่พอกพูนขึ้นมาไม่ได้มาจากเงินเก็บอย่างเดียว
แต่มาจากรายได้ด้วย
และการที่จะมีรายได้ก็ต้องมีเครื่องมืออำนวยความสะดวก
ยิ่งสะดวกมาก็ยิ่งมีโอกาสหารายได้มากขึ้น
และเครื่องมือทุกชิ้นมีโอกาสเสีย เราจึงจำเป็นต้องมีสำรองไว้
คนที่ไม่ยอมซื้อเครื่องมือหารายได้ หรือซื้อเพียงเพื่อให้พอใช้งานได้
ทำให้เสียบ่อยๆ หรือเสียแล้วไม่มีสำรองไว้ จะทำให้การหารายได้ติดขัด
รายได้ก็จะลดลงไปด้วย หากคิดแต่จะประหยัดอย่างเดียว
ความสูญเสียอาจจะตามมา มากกว่าเงินที่ประหยัดไป
ความประหยัดเพียงอย่างเดียว จะพาชีวิตตกต่ำเพราะว่าเราเกิดมาตัวเปล่า
เราจึงต้องอาศัยเครื่องมือเครื่องใช้ที่ไว้ใจได้เพื่อช่วยทำงาน
ถ้าไม่มีเครื่องมือหรือมีเครื่องมือที่เสียบ่อยๆ
เราก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่ ความผิดพลาดบางอย่าง
อาจทำให้เราถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัวในชั่วเวลาแค่พริบตา
เช่นภัยธรรมชาติ

แผ่นดินไหวใน
ประเทศเฮติ ในปี 2010 ทำให้อาคารบ้านเรือนพังลงมาทับผู้คนตาย
หลังจากสถาปนิกสำรวจก็พบว่า
บ้านเรือนที่พังล้วนใช้วัสดุก่อสร้างคุณภาพต่ำ เช่น
เศษคอนกรีตและเหล็กราคาถูก เนื่องจากชาวเฮติส่วนใหญ่
คำนึงถึง ปัจจัยด้านงบประมาณ
มากกว่าความมั่นคงแข็งแรงของตัวอาคาร ขณะที่
จำนวนผู้ที่มีความชำนาญอย่าง
แท้จริงในการก่อสร้างในเฮติมีน้อยมาก
ทำให้มีการนำเอาคอนกรีต หรือซีเมนต์ที่ได้รับการผสมแบบเจือจาง
และไม่ได้สัดส่วนมาใช้ในการก่อสร้างอย่างแพร่หลาย
คนที่บ้านพังจะต้องสูญเสียชีวิต คนที่รอดชีวิตก็ไม่มีที่อยู่
ไม่มีอาหาร เครื่องใช้อื่นๆที่สะสมมาทั้งชีวิต
ก็ถูกทำลายไปในเวลาเพียงชั่วพริบตา
เหลือแต่บ้านที่สร้างมาด้วยวัสดุอย่างดีเท่านั้น
ที่ยังคงตั้งอยู่ได้ ต่อมาในปี 2021 เกิดแผ่นดินไหวเหมือนเดิม
ทำบ้านเรือนพังอีกครั้ง
ตัวอย่างที่เห็นได้บ่อย ของการเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย
คือเรื่องการซื้อของ คนทั่วไปนิยมซื้อสินค้าราคาถูก
ซึ่งมักจะเป็นของจีน สินค้าของจีนดูภายนอกเหมือนของฝรั่ง
แต่พอซื้อมาใช้แล้วจะพบว่ามีปัญหาบางอย่างซ่อนอยู่ ทำให้เราใช้ไม่ได้
ต้องเสียเงินซื้อของชิ้นนั้นไปฟรีๆ หรือ เสียเร็ว ใช้ไม่ทน
หรือใช้แล้วติดปัญหาต่างๆ ต้องมาตามแก้ไข
ต้องเสียเงินเสียเวลามากกว่าการซื้อของฝรั่ง
ของฝรั่งมักจะแพงกว่าของจีนเท่าตัวหรือมากกว่านั้น
แต่ใช้แล้วมักจะไม่ค่อยมีปัญหาจุกจิกกวนใจ
สามารถเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆได้ดี
นอกจากเสียเงินซื้ออุปกรณ์ช่วยทำงานแล้ว การทำงานยังเกิดความเครียด
เราจึงต้องการการพักผ่อนให้หายเครียด การพักผ่อนก็ต้องใช้เงิน
คนที่มีรายได้มาก คือคนที่ต้องใช้สมองมาก
ต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น คนพวกนี้จึงเครียดกว่าคนทั่วไป
เขาจึงต้องเสียเงินไปกับการพักผ่อนมากกว่าคนทั่วไป
คนที่ความคิดคับแคบ มักคิดถึงแต่เรื่องความสิ้นเปลืองเพียงอย่างเดียว
ลืมคิดไปว่ามีแต่การใช้จ่ายในเรื่องไร้สาระ
ที่ไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้นเท่านั้น ที่พาชีวิตตกต่ำ
ถ้ามัวแต่ประหยัดจนไม่มีเครื่องมือเพียงพอที่จะใช้ทำงาน
หรือไม่ยกผ่อนคลายเครียดให้มีแรงกลับมาทำงาน
ชีวิตจะไม่ก้าวหน้าเช่นกัน ตัวอย่างเช่น รถยนต์ที่วิ่งได้ด้วยน้ำมัน
สามารถนำพลังงานจากน้ำมัน มาใช้ได้เพียง 20% เท่านั้น
ส่วนที่เหลือต้องหมดไปกับแรงเสียดทาน และ ทิ้งไปทางท่อไอเสีย
พื้นฐานของความเจริญคือ ความแข็งแรงเสียยาก แต่เท่านั้นยังไม่พอ
ยังต้องคิดเพิ่มอีกว่า แม้จะแข็งแรงเพียงใดก็มีโอกาสเสีย
เราจึงต้องเผื่อไว้ด้วยว่า เวลาสิ่งใดเสีย
จะทำอย่างไรให้ชีวิตประจำวัน ยังคงดำเนินต่อไปได้
โดยที่เราไม่ต้องหยุดงานที่ทำอยู่ เพื่อไปตามซ่อมแซมมัน
ถ้าไม่คิดเรื่องราคาแล้วจะคิดเรื่องอะไร?
เรื่องราคาควรคิดเป็นเรื่องสุดท้าย เรื่องแรกที่เราต้องคิดถึงคือ
เราต้องการอะไร และ ต้องเตรียมอะไรบ้างเพื่อจะได้ตามที่เราต้องการ
และคิดต่อไปว่า เวลาที่เสียจะทำอย่างไร
เมื่ิิอได้ในสิ่งที่เราต้องการแล้ว ถ้ามีตัวเลือกเหมือนกันหลายๆตัว
เราสามารถใช้ราคาตัดสินได้ แต่ถ้าไม่มีตัวเลือก แล้วต้องการประหยัด
ให้ใช้วิธีวางแผนอย่างรัดกุมและทำตามแผนที่วางไว้
จะช่วยประหยัดทั้งเงินและเวลา พูดง่ายๆก็คือ
ไปประหยัดในเรื่องไร้สาระเรื่องอื่นแทน
สาเหตุที่แท้จริงของความสิ้นเปลือง เกิดจาก
ไม่ศึกษาข้อมูลให้ละเอียดรอบคอบ และไม่รู้จักวางแผน
เป็นที่ทราบกันดีว่า ยิ่งเรามีความรู้มากขึ้น ยิ่งสิ้นเปลืองน้อยลง
คนส่วนใหญ่มักจะคิดเรื่องราคาเป็นอันดับแรก
ไม่ค่อยคิดถึงเวลาที่สูญเสียไป หรือผลที่จะตามมา
ยกเว้นว่าจะมีค่าใช้จ่ายรายชั่วโมงเกิดขึ้นแบบกะทันหัน เช่น
ค่าที่จอดรถ วิธีคิดที่ใช้ราคานำหน้านี้ จะทำให้คิดไม่ออก
เพราะเป็นการคิดแคบๆอยู่เพียงด้านเดียว ในทางกลับกัน
ถ้าเลิกคิดเรื่องราคา เปลี่ยนมาคิดว่ามีสิ่งใดบ้าง
ที่ช่วยจะได้ไปถึงจุดหมายปลายทาง เราจะเจอทางออก
พยายามแสวงหาสิ่งเหล่านั้นมาให้เพียงพอกับความจำเป็นในอนาคต
เราจะเดินทางต่อไปได้อย่างราบรื่น
ในการซื้อของ ถ้าซื้อครั้งแรก เรามักจะไม่ได้ราคาถูกที่สุด
คนที่จะซื้อของได้ถูกที่สุด จะต้องมีโอกาสซื้อของชิ้นนั้นบ่อยๆ
ซื้อจากหลายๆร้าน จึงจะได้รู้ว่า ร้านใดขายราคาถูกที่สุด ด้วยเหตุนี้
ถ้าซื้อของอะไรสักชิ้น เราไม่ควรจะกังวลกับเรื่องราคามากนัก
แต่เรามักจะไม่ค่อยเผื่อกันก็ต้องการประหยัด
หารู้ไม่ว่ายิ่งรัดเข็มขัด ยิ่งสูญเสียทางอ้อม
ผลเสียของการซื้อของราคาถูกคือ คุณภาพต่ำ
ใช้แล้วพังต้องเสียเวลาซ่อมหรือซื้อใหม่ ซ่อมไปหลายๆรอบก็เริ่มเบื่อ
เริ่มเหนื่อย สุดท้ายก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงไปทำอย่างอื่น โดยเฉพาะ
คนที่ประหยัดต้นทุนเรื่องงาน จะต้องใช้เวลาทำงานมากขึ้น
ความเครียดเพิ่มขึ้น จนกลายเป็นความเครียดสะสม
ต้องใช้เวลาและเสียเงินเพื่อพักผ่อนมากขึ้น
แต่กลับกันถ้าเขาลงทุนเรื่องงานให้เต็มที่ เขาจะเสียเวลาทำงานน้อยลง
ความเครียดน้อยลง จนกระทั่งการพักผ่อนไม่ใช่เรื่องจำเป็น เช่น
ไปซื้อคอมพิวเตอร์มือสองมาใช้แต่ต้องเสียเวลาซ่อมอีก 2
วันแล้วยังต้องเสียไปกับเครื่องช้า ใช้งานติดขัดอีก
ถ้าซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่แพงกว่าบ้าง แต่ใช้งานรวดเร็ว
แทนที่จะทำงานเสร็จ 1 วัน อาจลดเหลือแค่ครึ่งวัน
โดยเฉพาะเวลางานรีบๆจะไม่มีอะไรติดขัด ไม่ต้องเครียด
วิธีคิดแบบประหยัดใช้ไม่ได้ผลกับเรื่องที่จำเป็นต้องใช้
บางคนพอจะมีเงินแล้ว
กลับยังติดความคิดแค่เรื่องประหยัดมาจากสมัยที่ตนเองยังไม่มีเงิน
การคิดเรื่องประหยัดเป็นเรื่องแรก เป็นวิธีคิดที่คับแคบ
จนทำให้ลืมคิดเรื่องอื่นๆไป ทำให้คิดไม่ออกเจอทางตัน หรือ
ลืมคิดเผื่อวันข้างหน้า
วันนี้เราอาจคิดไม่ถึงว่าวันหน้ามีอะไรต้องใช้บ้าง
พอถึงเวลาต้องใช้จริงๆอาจหาไม่ได้ ออกไปหาก็หาก็ไม่มี
เรื่องที่ไม่จำเป็นจะมีใช้หรือไม่มีใช้ก็ไม่เดือดร้อน
แต่สำหรับเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ต้องใช้ เช่นเรื่องงาน ยิ่งประหยัด
ทำให้มีความสูญเสียเกิดขึ้น
ในทางบัญชี มีค่าใช้จ่ายอยู่ประเภทหนึ่ง คือ เครื่องมือที่ใช้ทำงาน
เช่น คอมพิวเตอร์ และวัสดุสิ้นเปลือง เช่น หมึกพิมพ์
ถ้าไม่มีวัสดุอุปกรณ์เหล่านี้ หรือ มีแต่อุปกรณ์คุณภาพต่ำเสียบ่อย
เราจะสูญเสียโอกาสที่จะหาเงินได้ในอนาคต
หากลองสังเกตุดูสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ
และอยู่รอดสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน ล้วนถูกสร้างมาเป็นคู่
มนุษย์มี 2 มือ 2 ขา 2 ตา บางคนอาจแยังว่าบางอย่างมีแค่ชิ้นเดียว
เช่น ปาก แต่อย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงความอยู่รอด ไม่ใช่ความเป็นอมตะ
เมื่อชิ้นส่วนที่มีเป็นคู่มีจำนวนมากกว่า โอกาสอยู่รอดย่อมมีมากขึ้น
เพราะหากชิ้นส่วนหนึ่งถูกทำลายไป ยังมีชิ้นส่วนสำรองเหลือไว้ใช้งาน
เมื่อมีลูกก็ต้องมีพ่อกับแม่อยู่เป็นคู่
หากพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งไม่อยู่ ยังมีเหลืออีกคนคอยดูแล
ถ้าไม่อยู่ทั้งคู่ ยังมีญาติสำรองไว้อีก แม้แต่ต้นไม้
ที่เติบโตขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ดูภายนอกเหมือนจะมีต้นเดียว
แต่ภายในลำต้นมีท่อส่งน้ำจำนวนมาก บทเรียนจากธรรมชาติ สอนว่า
สิ่งใดก็ตามจะอยู่รอดได้ต้องมีเป็นคู่ สิ่งใดจะต้องเติบโตยิ่งใหญ่ได้
ต้องอยู่รวมกันในปริมาณมาก ต้นไม้ที่อยู่ต้นเดียว
ถึงแม้จะต้นใหญ่ให้ร่มเงาแก่ผู้คนให้ผลไม้แก่สัตว์ต่างๆ
แต่ต้นไม้นั้นไม่อาจทำให้เกิดฝนตกได้
เมื่อมีพายุมาต้นไม้ที่ยืนต้นเดียวก็จะหักโค่นได้ง่าย
ต้นไม้ที่อยู่รวมกันเป็นป่าต่างหาก ที่ทำให้ฝนตก และ
ต้านทานลมพายุได้ ธรรมชาติได้สร้างพื้นฐานให้เราไว้ดีแล้ว
แต่มนุษย์บางคนหลงผิด สร้างต่อมาเพียงหนึ่งเดียว
ทำให้เขาต้องประสบปัญหาเรื่องเดือดร้อนอยู่เสมอๆ
เราควรสานต่อเจตนารมณ์ของธรรมชาติต่อไปด้วยการรู้จักเผื่อ

แฮกเกอร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จะไม่ใช้คอมพิวเตอร์เครื่องเดียว
แต่ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมาก ทำงานแบบคู่ขนานกันไป
เมื่อเครื่องหนึ่งทำงานอยู่ จะไม่ไปแตะต้อง
แต่จะทำงานใหม่กับเครื่องใหม่ คนที่ต้องการประสบความสำเร็จ
ก็เช่นเดียวกัน ควรจะเผื่อทรัพยากรให้เกินพอ เพราะ
การทำงานกับทรัพยากรจำกัด นอกจากจะทำให้ติดขัด เสียเวลาแล้ว
ยังเกิดความเครียดตามมา พอความเครียดสะสม จะทำให้หมดแรงทำต่อ
ยิ่งเผื่อยิ่งได้ บางคนรู้สึกเสียดาย ทั้งก่อนและหลังเผื่อ
คิดว่าเผื่อไปแล้วไม่รู้จะได้ใช้หรือเปล่า แต่ในความเป็นจริง
สิ่งที่เผื่อไปแล้วจะได้ใช้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
เพราะทุกสิ่งที่ใช้งานอยู่ย่อมต้องเสียสักวัน
ความก้าวหน้าจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติเมื่อเรามีทรัพยากร เหลือเฟือ
เพราะ จะมีเหตุให้เราต้องนำมาใช้ นำมาทดลอง หรือ
เราจะเริ่มคิดหาวิธีนำทรัพยากรนั้นมาใช้ แต่ถ้ายังไม่มีเผื่อไว้
ก็ยังคิดไม่ออก หรือคิดออกแต่ขยับตัวไม่ได้
ที่น่าแปลกคือพอได้ใช้ขึ้นมาจริงๆ
เรากลับลืมคิดถึงความเสียดายตอนแรกและลืมคิดถึงคุณค่าของการ เผื่อไป
หลักการซื้อของคือ มีไว้ ดีกว่าไม่ดี
ของที่ต้องใช้ประจำให้ซื้อมาเผื่ออีกชิ้น
แต่ถ้าซื้อมาทดลองให้ซื้อเพียงชิ้นเดียว
ถ้าคิดว่าวันข้างหน้าจะมีโอกาสได้ใช้ก็ควรซื้อมาด้วย
เพราะถ้าไม่ซื้อแล้วเกิดวันข้างหน้าต้องการใช้อาจหาไม่ได้
ไปซื้อก็ไม่มีขายเพราะขายหมดแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะเปลืองเงิน เพราะ
ตามสัญชาติญาณแล้วเราคงไม่ต้องซื้อทุกชิ้นในโลก
ถ้ากลัวจะเปลืองเงินก็ไม่ควรเริ่มต้นทำ
คนที่จะเจริญก้าวหน้าพัฒนาสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
ต้องมีทรัพยากรอยู่เหลือเฟือ
สภาพแวดล้อมต้องเปิดโอกาสให้เรียนรู้และขยายตัวได้ไม่มีข้อ จำกัด
นั่นคือต้องมีทรัพยากรในเรื่องที่เกี่ยวข้องอย่างเหลือเฟือ
ปัญหาของการพัฒนาสาเหตุใหญ่ที่สุดคือทรัพยากรจำกัด ทำอะไรก็ติดขัด
นอกจากจะเผื่อขยายตัวแล้วยังต้องเผื่อซ่อมแซมแก้ไขในอนาคต เช่น
ถ้าสร้างบ้านก็ไม่ควรจะยึดทุกอย่างตายตัว แต่ควรจะทำให้ถอดได้
การยึดตายตัวเป็นฝีมือของมือสมัครเล่น
ส่วนการทำให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้
ยิ่งแก้ไขได้ง่ายนั้นเป็นฝีมือของมืออาชีพ
วิธีเผื่อที่ดีที่สุดคือ เผื่อให้ใช้งานอย่างอื่นได้ด้วย เช่น
สายไฟเส้นเดิมเป็นสายสั้น ให้เผื่อสายยาวไว้
เพราะถ้าสายสั้นเสียสามารถนำสายยาวมาใส่แทนได้ หรือ
ถ้าเกิดต้องเคลื่อนย้ายแล้วสายยาวไม่ถึงจะได้เปลี่ยนจากสายสั้นเป็น
สายยาว แต่ถ้าให้ดีกว่านั้นคือเผื่อยิ่งมากยิ่งดี
เผื่อไว้ทั้งสายสั้นและสายยาว
ถ้าสายสั้นเสียก็เปลี่ยนสายสั้นเพราะสายยาวเกะกะ
แต่ถ้าเผื่อหลายชิ้นไม่ได้ให้เผื่อเฉพาะสายยาว
รู้จักเผื่อ ทำอะไรต้องคูณสอง คือ
ให้เผื่อไว้เท่าตัว
บ่อยครั้งที่เราทำอะไรพอดีตัว
แล้วในเวลาต่อมาพบว่าขาด และบ่อยครั้งเมื่อเราเผื่อแล้ว
ในช่วงแรกพบว่า มีมากเกินความจำเป็น แต่ในเวลาต่อมา กลับพบว่า
โชคดีที่เผื่อไว้ หลักสำคัญของการเผื่อ
จึงเป็นการเผื่อสิ่งที่มองไม่เห็น และ ยังคาดไม่ถึง
หรือพูดอีกด้านหนึ่งก็คือ อย่าทำอะไรพอดีตัว
เวลาลงมือทำจริงมักจะมีความจำเป็นต้องใช้มากกว่าที่เคยประมาณไว้เสมอ
และเหตุการณ์ไม่ปกติอาจเกิดขึ้นได้ทำให้ต้องใช้ทรัยากรเพิ่ม
ขึ้น ถ้าไม่เผื่อไว้ ถึงกลางทางแล้วเกิดขาดขึ้นมา
จะทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก พร้อมผลที่ตามมาอีกเป็นลูกโซ่ คือ
- ติดขัด เดินหน้าต่อไปไม่ได้
- เตรียมตัวไปไม่พร้อมต้องย้อนกลับมาเริ่มต้นใหม่
- ต้องเสียเวลาแก้ปัญหาจุกจิก
ถ้าเป็นระบบที่มีชิ้นเล็กชิ้นน้อยเชื่อมโยงกันอยู่
อาจหาสาเหตุไม่พบ ต้องรื้อทั้งระบบ
- ต้องหยุดซ่อมแซม
ต้องเสียเวลาออกไปซื้อหาของที่ทำงานแบบเดียวกันได้มาใช้แทน
หลักการคูณสอง ถือว่าเป็นหลักที่สำคัญที่สุดในการใช้อุปกรณ์
ถ้าอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งเสีย เราจะได้หยิบอุปกรณ์อีกชิ้นมาใช้
ถ้าอุปกรณ์ที่มีอยู่ทำงานบางอย่างไม่ได้
เราจะได้นำอุปกรณ์อีกชิ้นซึ่งทำได้ มาทดแทน
หลักสำคัญของการเผื่อ คือ เผื่อในสิ่งที่เรายังคาดไม่ถึง
การเผื่อนี้ดูเหมือนจะเป็นกฎหลัก
ที่กำหนดความสำเร็จหรือล้มเหลวในการแข่งขัน
เด็กนักเรียนที่เรียนเก่งกว่าคนอื่นก็เพราะรู้จักเผื่อ
อ่านหนังสือล่วงหน้าก่อนคนอื่น
นักธุรกิจที่ร่ำรวยก็เพราะรู้จักเผื่อรายได้
เพื่อใช้ซื้อเครื่องจักรและจ้างคน
ให้เพียงพอกับความต้องการของลูกค้าและภัยอันตรายที่ไม่คาดฝัน